ประวัติ ดีเอโก้ มาราโดน่า
ดีเอโก้ มาราโดน่า "ตำนานหัตถ์พระเจ้า"
แม้จะถูกมองว่าเป็นต้นแบบของความเป็นนักเตะเจ้าปัญหา แต่ ดีเอโก้ มาราโดนา ก็ได้รับการยอมรับอย่างเต็มใจจากแฟนบอลและคนในวงการว่าเป็นหนึ่งในนักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดการ
มาราโดนา เกิดที่ วิลล่า ฟิออริโต้ อาจจะเป็นเพราะตัวเองเป็นลูกชายคนแรกของตระกูล อาการสปอย เอาแต่ใจนับว่าไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดแม้ว่าจะมีน้องชายเล็กๆตามมาอีกสองคนก็ตามที
พรสวรรค์ของ มาราโดนา เข้าตาแมวมองตั้งแต่เจ้าตัวยังไม่พ้นวัยเด็กๆที่ 10 ขวบขณะเล่นให้กับสโมสรในบ้านเกิดอย่าง เอสเตรลล่า โรย่า จากนั้นเหมือนชีวิตพลิกผัน ได้มาเล่นให้ทีมระดับจูเนียร์ ของ อาร์เจนติโนส จูเนียร์ สโมสรดังของกรุงบัวโนส ไอเรส
กับเกมดิวิชั่น 1 อาร์เจนตินา แรกๆมาราโดนา เป็นเพียงเด็กเก็บบอลวิ่งอยู่ข้างสนาม พร้อมทั้งเอนเตอร์เทน เดาะบอลโชว์แฟนๆในช่วงพักครึ่งเกมการแข่งขัน
พออายุ 15 มาราโดนา ได้ลงเล่นทีมชุดใหญ่ของ อาร์เจนติโนส จูเนียร์เป็นครั้งแรก และค้าแข้งด้วยระหว่างปี 1976 ถึง 1981 ก่อนจะย้ายมาสู่สโมสรยักษ์ใหญ่ของประเทศอย่าง โบคาจูเนียร์ ที่กลายเป็นแบรนด์ของเจ้าต้วจนถึงทุกวันนี้ตั้งแต่ปลายฤดูกาล 1981 คว้าแชมป์กับทีมสำเร็จตั้งแต่ปีแรก
มาราโดนา ได้ติดทีมชาติ ฟ้าขาวตั้งแต่อายุ 16 นัดเจอกับ ฮังการี และได้เข้าสัมผัสบรรยากาศฟุตบอลโลกรุ่นเยาวชน เมื่ออายุ 18 ปี ซึ่งเป็นทัวร์นาเมนต์ที่สร้างชื่อให้ตัวเองดังกระฉ่อนวงการในทัวร์นาเมนต์นี้ โดยเฉพาะเกมนัดชิงที่ชนะ สหภาพโซเวียต 3-1
ปี 1982 มาราโดนา ได้ลงเตะทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลโลก ระดับซีเนียร์ ครั้งแรกโดยรอบแรก อาร์เจนตินา ชนะ ฮังการี และ เอล ซัลวาดอร์ ได้อย่างสบายเท้า ก่อนจะไปช็อคตกรอบในรอบ 2 หลังไม่สามารถผ่านด่านอรหันต์ บราซิล และ อิตาลี ไปได้
หลังจบทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลโลก มาราโดนา ย้ายสังกัดซบ “เจ้าบุญทุ่มแห่งสเปน” บาร์เซโลนา ในปี 1983 ภายใต้การทำทีมของโค้ช เซซาร์ หลุยส์ เมน็อตติ ที่พา บาร์ซ่า ซึ่งมีมาราโดนา เป็นกุญแจสำคัญขึ้นคว้าแชมป์ โคปา เดลเรย์ หลังเอาชนะคู่แค้นตลอดกาลอย่าง เรอัล มาดริด
แม้เส้นทางเหมือนว่าดูแล้วน่าจะสวยงามสำหรับนักเตะอย่าง มาราโดนา ในถิ่นคัมป์ นู แต่เจ้าตัวกลับไม่ค่อยแฮปปี้ เท่าไรนักทั้งเรื่องอาการป่วย รวมถึงสไตล์การเล่นของบอลสเปนที่ค่อนข้างหนัก แม้โดนนักเตะคู่แข่งแท็กจนเจ็บยาว เกือบต้องแขวนสตั๊ดไปเหมือนกัน
หลังจากปัญหาต่างๆประดังเข้ามาเป็นว่าเล่นทางฝ่ายจัดการของ บาร์เซโลนา ก็ชักจะไม่ค่อยแฮปปี้เท่าไรเช่นกัน เลยตัดสินใจปล่อยตัวนักเตะเจ้าปัญหารายนี้สู่ นาโปลิ ทีมในอิตาลี ที่มาราโดนา ไปเป็นผู้นำความสำเร็จสู่ทีมโดยแท้ คว้าแชมป์ลีก สองสมัย ,โคปา อิตาเลีย,ยูฟ่า คัพ และ อิตาเลียน ซูเปอร์คัพ นอกจากนี้ยังเป็นรองแชมป์ลีกอีก 2 สมัยด้วย
กับทีมชาติ มาราโดนา พาทีมฟ้าขาวคว้าแชมป์โลกสำเร็จในปี 1986 จากการชนะเยอรมันตะวันตก 3-2 หลังจากตัวเองโชว์ฟอร์มโดดเด่นมาตลอดทัวร์นาเมนต์ ก็ได้รับการยกย่องจากทุกสารทิศว่าเป็นนักเตะที่ดีที่สุดของทัวร์นาเมนต์
และก็เป็นทัวร์นาเมนต์นี้ ที่มาราโดนา สร้างตำนาน “หัตถ์พระเจ้า” เอาไว้ด้วยในเกมกับอังกฤษรอบควอเตอร์ไฟนัล ที่ชูมือปัดลูกเข้าประตูเห็นๆ แต่ผู้ตัดสินให้เป็นประตูซะอย่างงั้น นับเป็นประตูที่โด่งดังมาก น้อยคนนักที่จะลืมเลือนประตูนี้ โดยเฉพาะแฟนๆทีม “สิ งโตคำราม” ที่โดนเขี่ยตกรอบไป
ปัจจุบัน มาราโดน่า ได้มีโอกาสผันตัวมาเป็นผู้จัดการทีม ซึ่งประเดิมทีมแรกที่เขาคุมเลยก็คือ ทีมแมนดิยู ออฟ โครินเธียน และก็ทีม เรซซิ่ง คลับ แต่ไม่ประสบความสำเร็จนัก อย่างไรก็ดี มาราโดน่า ก็ยังได้รับความไว้วางใจอยู่ ล่าสุด เขาได้มีโอกาสคุมทีมชาติ อาร์เจนติน่า แต่ทำผลงานได้ไม่ค่อยดีนัก