ประวัติ แกเบรียล บาติสตูต้า

| 01/01/1970 07:00 น. | 2352 Views

 

“บาติโกล์” แกเบรียล บาติสตูต้า


แฟ้มประวัติของกาเบรียล บาติสตูต้า
ชื่อจริง: กาเบรียล โอมาร์ บาติสตูต้า
เกิดเมื่อ: 1 กุมภาพันธ์ 1969 (ปัจจุบันอายุ 38 ปี)
สถานที่เกิด: ซานตาเฟ่, อาร์เจนติน่า
ส่วนสูง: 6 ฟุต 1 นิ้ว (185 เซนติเมตร)
ตำแหน่ง: กองหน้าตัวเป้า


ประวัติในการเล่นฟุตบอล
ฤดูกาล 1988-1989 ... สโมสรนีเวลล์ โอลด์ บอยส์
ฤดูกาล 1989-1990 ... สโมสรริเวอร์เพลท
ฤดูกาล 1990-1991 ... สโมสรโบคา จูเนียร์
ฤดูกาล 1991-2000 ... สโมสรฟิออเรนติน่า
ฤดูกาล 2000-2003 ... สโมสรโรม่า
ฤดูกาล 2003 (ยืมตัว) ... สโมสรอินเตอร์ มิลาน
ฤดูกาล 2003-2005 ... อัล อราบิ

กับทีมชาติอาร์เจนติน่า
ติดทีมชาติทั้งหมดในช่วงปี 1991-2002 ลงเล่นทั้งหมด 78 เกม (ทำได้ 56 ประตู)

ประวัติในการเล่นฟุตบอล
ก้าวแรกที่สัมผัสกับกีฬาฟุตบอล

ในสมัยเด็กๆบาติสตูต้ามีพรสวรรค์ในด้านกีฬาเป็นอย่างมาก แต่เนื่องจากเป็นเด็กที่ตัวสูงเค้าจึงหันมาเล่นบาสเก็ตบอลและคิดจะเป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอลอย่างเต็มตัว, แต่เมื่ออาร์เจนติน่าก้าวขึ้นไปเป็นแชมป์โลกเมื่อปี 1978 มันเริ่มทำให้เค้าเริ่มคิดจะมาเล่นฟุตบอลและเป็นนักฟุตบอลแบบจริงจังหลังจากได้เห็นการเล่นของมาริโอ คัมเปส มันทำให้เค้าอยากเป็นแบบนั้นบ้าง

หลังจากนั้นเค้าก็เริ่มเล่นฟุตบอล ซึ่งก็เหมือนๆกับนักฟุตบอลลาตินทั่วไปที่ยากจน ทำให้เค้าต้องเล่นฟุตบอลตามข้างถนนกับเพื่อนๆและเค้าก็เป็นนักเตะในสโมสรเล็กๆอย่าง Gripo Alegria ซึ่งเป็นสโมสรท้องถิ่น ก่อนที่เค้าจะถูกแมวมองของทีมนีเวลล์ โอลด์ บอยส์ชักชวนให้ไปทดสอบฝีเท้าและก็ผ่านการคัดเลือกก่อนถูกจับเซ็นต์สัญญาในปี 1988


ก้าวแรกสู่ฟุตบอลอาชีพ
หลังจากที่บาติสตูต้าเซ็นต์สัญญากับทีมนีเวลล์ โอลด์ บอยส์ ในยุคที่มีมาร์เซโล บิเอลซ่าเป็นผู้จัดการทีม, มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่บาติสตูต้าจะปรับตัวกับทีมใหม่และดูเหมือนเค้าจะไม่ค่อยมีความสุขนัก เมื่อต้องจากบ้าน, ครอบครัวและแฟนสาวมาอยู่เพียงลำพัง บ่อยครั้งเค้าต้องนอนที่สนามฟุตบอลและด้วยน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นทำให้ความเร็วในการเคลื่อนตัวก็ค่อยๆลดลงเรื่อยๆ ก่อนที่จะโดนสโมสรปล่อยตัวให้ทีมเล็กๆอย่างเดปอร์ติโว อิตาเลียโน (อยู่ในเมืองบัวโนส ไอเรส) ยืมตัวไปใช้งาน ซึ่งบาติสตูต้าทำได้ 3 ประตู

กลางปี 1989 บาติสตูต้าย้ายไปร่วมทีมริเวอร์เพลทยักษ์ใหญ่ในวงการฟุตบอลอาร์เจนติน่า โดยเค้าทำได้ถึง 17 ประตูในช่วงครึ่งฤดูกาลแรก แต่ก็ใช่ว่าสถานการณ์ของเค้าจะดีนักเมื่อต่อมาเค้ามีปัญหากับโค้ชอย่างดาเนียล พาสซาเรลล่าซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นจอมเฮี้ยบคนหนึ่ง ทำให้ในช่วงครึ่งฤดูกาลหลังบาติสตูต้าถูดร็อปเป็นสำรองซะเป็นส่วนใหญ่ ก่อนที่พาสเซเรลล่าจะเดินไปบอกกับสโมสรว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่มีจุดเด่นอะไรเลย ก่อนที่ริเวอร์เพลทจะขายบาติสตูต้าไปให้กับทีมคู่กัดตลอดกาลอย่างโบคา จูเนียร์

ในปี 1990 บาติสตูต้าย้ายไปร่วมทีมโบคา จูเนียร์หลังจากกลายเป็นส่วนเกินในริเวอร์เพลท โดยกับสโมสรแห่งนี้เป็นออสการ์ ตาบาเรซที่ดึงเอาความสามารถของบาติสตูต้าออกมาได้อย่างเต็มที่ โดยในฤดูกาลนั้นบาติสตูต้าได้เป็นดาวซัลโวของลีกและพาโบคา จูเนียร์คว้าแชมป์ลีกมาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือในฤดูกาลนั้นโบคา จูเนียร์สามารถเอาชนะริเวอร์เพลทได้ทั้ง 4 นัดที่เจอกันอีกด้วย!


ก้าวแรกในระดับชาติ
ในปี 1991 บาติสตูต้าถูกเรียกติดทีมชาติครั้งแรกในรายการโคปา อเมริกา ที่จัดขึ้นที่ชิลี, ซึ่งบาติสตูต้าเป็นหนึ่งในฟันเฟือนสำคัญที่พาอาร์เจนติน่าคว้าแชมป์มาครองได้ และเค้าก็ยังเป็นดาวซัลโวสูงสุดอีกด้วยเมื่อยิงไปทั้งสิ้น 6 ประตู

ก่อนที่ประธานสโมสรฟิออเรนติน่าจะจับบาติสตูต้าเซ็นต์สัญญาย้ายจากอาร์เจนติน่ามาเล่นในอิตาลี ซึ่งที่ฟลอเรนซ์นี่เองที่ทำให้ชื่อของ "บาติโกล์" โด่งดังไปทั่วโลก และแม้ในปี 1993 ฟิออเรนติน่าจะโดนลดชั้นไปอยู่ในเซเรีย บีแต่บาติสตูต้าก็ไม่ได้คิดตีจากทีมเพื่อเอาตัวรอดแต่อย่างใดแม้จะถูกสโมสรทั้งในและนอกประเทศพยายามซื้อตัวเค้าไปร่วมทีม แต่ฟิออเรนติน่าก็ใช้เวลาไม่นานในเซเรีย บีก่อนที่กลับมาเล่นในเซเรีย อาอีกครั้ง ซึ่งบาติสตูต้ายิงได้ 16 ประตูในฤดูกาลนั้น โดยมี "เคลาดิโอ รานิเอรี" เป็นผู้จัดการทีมฟิออเรนติน่าสมัยนั้น

ในปี 1993 บาติสตูต้าได้มีโอกาสลงเล่นในรายการโคปา อเมริกาเป็นครั้งที่สอง ที่จัดขึ้นที่เอกัวดอร์, ซึ่งอาร์เจนติน่าก็สามารถคว้าแชมป์มาครองได้อีกครั้ง

ในปี 1994 ในรายการฟุตบอลโลก ที่จัดขึ้นที่สหรัฐอเมริกา อาร์เจนติน่าไปได้ไกลที่สุดเพียงรอบ 16 ทีมสุดท้าย เมื่อพวกเค้าพ่ายให้กับโรมาเนีย ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากกรณีของดีเอโก้ มาราโดน่าที่ถูกแบนเนื่องจากตรวจพบว่าใช้สารกระตุ้น, โดยในทัวร์นาเมนต์นั้นบาติสตูต้าทำได้ 4 ประตู โดยเค้ายังสามารถแฮตทริกได้ในเกมที่พบกับกรีซในรอบแรกอีกด้วย

หลังจากทำผลงานได้ดีในฟุตบอลโลก 1994, ในฤดูกาล 1994/95 บาติสตูต้าก็ยังคงร้อนแรงไม่หยุดเมื่อจบฤดูกาลเค้าได้รับตำแหน่งดาวซัลโวของลีกเมื่อยิงไปถึง 26 ประตู โดยใน 11 เกมแรกของฤดูกาลนั้นบาติสตูต้ายิงประตูได้ทุกเกมอีกด้วย และในฤดูกาล 1995/96 ฟิออเรนติน่ายังสามารถคว้าได้ทั้งแชมป์ในรายการโคปปา อิตาเลีย (อิตาเลียน คัพ) และซุปเปอร์ โคปปามาครองได้สำเร็จอีกด้วย

ในช่วงรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 1998 บาติสตูต้าไม่ค่อยได้ถูกรียกติดทีมชาติมากนัก เนื่องจากโค้ชทีมชาติตอนนั้นคือดาเนียล พาสซาเรลล่าซึ่งเป็นคนที่ระเบียบจัดมาก โดยเค้าเคยออกมาประกาศว่าจะไม่เรียกนักฟุตบอลที่ผมยาวมาติดทีมเค้าแม้จะเล่นได้ดีเพียงไรก็ตาม แม้จะไม่ชอบการไว้ผมสั้นแต่บาติสตูต้าก็ต้องยอมตัดผมออกเพราะเค้าต้องการที่จะกลับไปเล่นในรายการฟุตบอลโลกอีกครั้ง, โดยฟุตบอลโลก 1998 ที่ฝรั่งเศส บาติสตูต้าทำได้ 5 ประตู โดยในเกมที่พบจาไมก้าบาติสตูต้าสามารถทำแฮตทริกได้อีกครั้ง ซึ่งถือว่าเป็นคนที่ 4 ในประวัติศาสตร์ที่สามารถทำแฮตทริกได้ 2 ครั้งในรายการฟุตบอลโลก (ก่อนหน้านั้นมี: ซานดอร์ โคซิซ, จูสต์ ฟร็องแตง และแกร์ด มุลเลอร์) และเป็นนักฟุตบอลคนแรกที่สามารถทำแฮตทริกได้ในการลงเล่นรายการฟุตบอลโลก 2 ครั้ง

ด้วยผลงานที่โดดเด่นมาโดยตลอดในช่วงที่เล่นให้ฟิออเรนติน่าไม่น่าแปลกใจเลยที่บาติสตูต้าจะมีข่าวในการย้ายทีมบ่อยครั้ง แต่เค้าก็ตัดสินใจที่จะอยู่กับฟิออเรนติน่าต่อไป (โดยเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันเพียรพยายามที่จะดึงตัวบาติสตูต้าให้มาเล่นที่โอลด์ แทรฟฟอร์ดหลายครั้งแต่ก็ถูกปฏิเสธทุกครั้ง) และในฤดูกาล 1998/99 กับการที่ทีมมีผู้จัดการทีมที่ชื่อ "โจวานนี่ ตราปัตโตนี่" ก็คงไม่น่าแปลกใจที่ทีมจะกลับมาได้ลุ้นแชมป์เซเรีย อา, หลังจากทีมทำผลงานได้ดีตั้งแต่เริ่มฤดูกาลและกำลังก้าวขึ้นไปลุ้นแชมป์อย่างเต็มตัว แต่ก็เกิดปัญหาเมื่อบาติสตูต้าได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงจนต้องพักรักษาตัวหลายเดือน ซึ่งเป็นผลทำให้ผลงานของฟิออเรนติน่าก็ค่อยๆตกลงมา ก่อนที่จะจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 3 และได้สิทธิ์ไปเล่นยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีกในฤดูกาลถัดไป


แชมป์สคูเด็ตโต้ครั้งแรกกับเอเอส โรม่าและปีสุดท้ายของการเล่นฟุตบอล
ฤดูกาล 1999/2000 บาติสตูต้าเล่นให้ฟิออเรนติน่าเป็นฤดูกาลสุดท้าย โดยเค้าพาฟิออเรนติน่าผ่านเข้าไปเล่นในรอบแบ่งกลุ่มรอบที่สองของรายการยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีกได้ ก่อนที่ในฤดูกาล 2000/01 บาติสตูต้าจะย้ายไปร่วมทีมเอเอส โรม่าด้วยค่าตัว 35 ล้านเหรียญ ($) ซึ่งเค้าให้เหตุผลว่า "กับฟิออเรติน่าก็ยังคงเป็นทีมที่ผมรักมากที่สุด แต่กับช่วงท้ายของชีวิตค้าแข้งผมก็อยากที่จะสัมผัสการเป็นแชมป์ลีกอีกซักครั้ง" ซึ่งก็ไม่มีแฟนบอลฟลอเรนซ์คนไหนโกรธในการกระทำของบาติสตูต้าเพราะทุกคนรู้ดีและก็ขอบคุณกับทุกๆอย่างที่บาติสตูต้าทำให้ทีมในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา, โดยเค้ายิงประตูให้เอเอส โรม่าในฤดูกาลแรกถึง 20 ประตู และก็ทำให้ความฝันของเค้าเป็นจริงเมื่อจบฤดูกาลเอเอส โรม่าสามารถคว้าแชมป์เซเรีย อามาครองได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1983 ก่อนที่ฤดูกาลต่อมาทางเอเอส โรม่าจะเปลี่ยนเบอร์ที่หลังเสื้อของบาติสตูต้าจาก 18 เป็น 20 (มาจากจำนวนประตูที่บาติสตูต้าทำได้ในฤดูกาลที่พาทีมคว้าแชมป์เซเรีย อา)

หลังจากทำผลงานได้ดีในรอบคัดเลือกรายการฟุตบอลโลก 2002 โดยอาร์เจนติน่าเป็นทีมแรกที่ได้ผ่านเข้าไปเล่นในรอบสุดท้าย ในการคุมทีมของมาร์เซโล บิเอลซ่าก็ทำให้บาติสตูต้าหวังที่จะคว้าเกียรติยศสูงสุดโดยการคว้าแชมป์โลกมาครองให้ได้ โดยก่อนการแข่งขันอาร์เจนติน่าถูกยกให้เป็นเต็ง 1 ที่จะคว้าแชมป์, แต่จากการที่ถูกจับฉลากไปอยู่ใน กรุ๊ป ออฟ เดธ ซึ่งประกอบไปด้วยอาร์เจนติน่า, สวีเดน, อังกฤษ และไนจีเรีย ทำให้พวกเค้าไปได้ไม่ไกลดั่งที่คิดไว้และตกรอบแรกในฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1962

หลังจากจบฟุตบอลโลก 2002 ก็ดูเหมือนฟอร์มการเล่นของบาติสตูต้าก็จะตกลงไปด้วยทำให้เค้าตกเป็นตัวสำรองของเอเอส โรม่าซะเป็นส่วนใหญ่ ก่อนที่เค้าจะย้ายไปเล่นให้อินเตอร์ มิลานในสัญญายืมตัว แต่ก็ทำผลงานได้ไม่ดีนัก ก่อนที่ท้ายที่สุดจะย้ายไปร่วมทีมอัล อราบิในปี 2004ซึ่งเป็นสโมสรสุดท้ายของเค้า และจบชีวิตการค้าแข้งที่นั่น

 

ADS