ประวัติ เวสลีย์ สไนเดอร์

| 01/01/1970 07:00 น. | 1262 Views

     สื่อกีฬาแดนผู้ดีหลายสำนักร่วมรายงานข่าวเวสลีย์ สไนจ์เดอร์ จอมทัพดัตช์แมนของ กาลาตาซาราย ออกโรงขอโทษ ลีดส์ ยูไนเต็ด ที่โปรโมตขายชุดมีดให้ต้นสังกัดผิดที่ผิดเวลา

     คืนนี้"ยูงทอง"มีคิวทำศึก เดอะ แชมเปี้ยนชิพ เปิดรัง เอลแลนด์ โร้ดรับการมาเยือนของ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส

     ก่อนเกมดังกล่าวเขี่ยลูกจะมีการยืนสงบนิ่ง 1 นาทีไว้อาลัยให้สาวก ลีดส์ 2 คนถูกแฟนบอล กาลาตาซาราย ใช้มีดแทงเสียชีวิตก่อนทั้งสองทีมทำศึกยูฟ่า คัพเมื่อปี 2000

     กระนั้นวันนี้ดาวเตะวัย 30 ปีเผลอโพสต์รูปชุดมีดที่ต้นสังกัดวางขาย ผ่านทวิตเตอร์พร้อมข้อความ "ในที่สุดเซ็ตมีด กาลาตาซาราย ของผมก็วางขายเสียทีและจะให้ส่งไปที่ไหนก็ได้"

     ทวีตดังกล่าวทำให้แฟนๆลีดส์หลายคนบนทวิตเตอร์ไม่พอใจอย่างแรงที่ สไนจ์เดอร์ ดันมาโพสต์เอาวันครบรอบ 15 ปีเหตุการณ์สลดพอดี

     ล่าสุดสไนจ์เดอร์ทวีตถึงแฟนบอล ลีดส์ คนหนึ่งว่า"ถึง @Leedsu1Ross ต้องขออภัยอย่างสูง ผมไม่รู้เรื่องนี้และได้ลบโปรโมชั่นสินค้าครัวเรือนของเราแล้ว #Respect"

 

เวสลีย์ สไนเดอร์

ข้อมูลส่วนตัว

ชื่อ : เวสลีย์ สไนเดอร์
วันเกิด : 9 มิถุนายน 1984
เกิดที่ : อูเทร็คต์, ฮอลแลนด์
ตำแหน่ง : กองกลางตัวรุก
ส่วนสูง : 170 ซม.
สโมสรปัจจุบัน : เรอัล มาดริด
หมายเลขเสื้อ : 23

นี่คืออีกหนึ่งผลผลิตโรงเรียนลูกหนังของสโมสรอาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม ที่กำลังเปล่งประกายโดดเด่นกับบทบาทจอมทัพของทีม "ราชันชุดขาว" เรอัล มาดริด ที่เวลานี้ใครๆก็ต้องตื่นตากับลีลาลูกหนังของเวสลีย์ สไนเดอร์

จอมทัพฉบับกระเป๋าตัวจริงเสียงจริงของเรอัล มาดริด ที่สร้างผลงานระบือลั่นด้วยการยิงไปถึง 3 ประตูจาก 2 นัดแรก รวมถึงการยิงลูกฟรีคิกที่แม่นยำชนิดสั่งการได้ทำให้สไนเดอร์กลายเป็นหนึ่งในนักเตะที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดในขณะนี้ของวงการฟุตบอลสเปน

สไนเดอร์ เป็นหนึ่งในนักเตะเยาวชนของอาแจ๊กซ์ อัมสเตเดอร์ดัม ตักศิลาลูกหนังที่ดีที่สุดในโลก แต่ความจริงแล้วเขาไม่ใช่คนอัมสเตอร์ดัมตั้งแต่กำเนิด

เจ้าหนูอัจฉริยะลูกหนังรายนี้เกิดที่อูเทร็คต์ และโชคดีที่ได้เกิดในครอบครัวนักฟุตอลอย่างแท้จริง เมื่อพ่อเคยเป็นอดีตนักเตะเก่ามาก่อนขณะที่เจฟฟรีย์ สไนเดอร์ พี่ชายคนโตก็เล่นให้กับสโมสรสตอร์มโฟเกลส์ เทลสตาร์ รวมถึงน้องชายคนเล็กอย่างร็อดนี่ย์ สไนเดอร์ก็กำลังที่จะขึ้นมาเล่นฟุตบอลอาชีพ

ด้วยความที่เกิดในครอบครัวลูกหนัง ทำให้สไนเดอร์ได้รับการผลักดันจนได้เข้ามาอยู่ในโรงเรียนลูกหนังของอาแจ๊กซ์ที่ได้รับการยอมรับว่าดีที่สุดของโลกจนได้

สไนเดอร์ใช้เวลาบ่มเพาะฝีเท้าอยู่หลายปีก่อนที่จะได้รับการเรียกตัวเข้าสู่ทีมชุดใหญ่ในฤดูกาล 2002-03 และได้ลงสนามเกมแรกในนัดที่อาแจ๊กซ์เอาชนะเอสซี เอ็กเซลไซเออร์ได้ในวันที่ 22 ธ.ค. 2002 (เลข 2 พรึ่บ!) ซึ่งขณะนั้นมีอายุได้ 18 ปีเท่านั้น

ความจริงการที่เจ้าหนูสไนเดอร์ได้รับเรียกตัวก็เพราะเวลานั้นอาแจ๊กซ์ กำลังประสบปัญหานักเตะบาดเจ็บเต็มไปหมดทำให้โรนัลด์ คูมัน โค้ชในขณะนั้นไม่มีทางเลือกต้องยอมดันเด็กขึ้นมาใช้งาน โดยได้รับคำแนะนำจากแดนนี่ บลินด์โค้ชทีมเยาวชนอาแจ๊กซ์ที่การันตีฝีเท้าให้กับกองกลางฉบับกระเป๋ารายนี้

แต่สไนเดอร์ก็สามารถคว้าโอกาสที่ได้มาโดยบังเอิญของตัวเองเอาไว้ได้ โดยสามารถปักหลักได้ในแดนกลางของอาแจ๊กซ์ โดยมักจะถูกสลับบทบาทไปเรื่อยๆด้วยความสามารถที่ครบเครื่องต้มยำ ทำให้เดี๋ยวก็ได้เล่นตรงกลาง เดี๋ยวก็โดนโยกไปเล่นปีก

ความสารพัดประโยชน์ของสไนเดอร์สามารถช่วยอาแจ๊กซ์ได้มาก เนื่องจากแม้จะมีรูปร่างที่เล็กแต่ก็มีความแข็งแกร่งเกินตัว ยามปักหลักเล่นตรงกลางก็สามารถครองบอล เก็บบอล ปะทะและตัดเกมคู่แข่งได้ และไม่ใช่แค่เกมรับที่ดี เพราะเกมรุกก็สุดยอดเช่นกันไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการจ่ายบอลสั้น-ยาวที่แม่นยำราวจับวาง เล่นได้ทั้งสองเท้า หรือการยิงไกล และการเล่นฟรีคิกที่ไม่ว่าจะเปิดหรือยิงก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน

ความเป็นนักเตะพรสวรรค์ของสไนเดอร์ ทำให้ถูกเรียกตัวติดทีมชาติฮอลแลนด์อย่างรวดเร็วตั้งแต่ปี 2003 และก็สามารถปักหลักเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของทีมมาได้โดยตลอด

สไนเดอร์ ใช้ชีวิตเป็นแกนหลักของอาแจ๊กซ์มาโดยตลอด โดยเฉพาะหลังจากที่ราฟาเอล ฟาน เดอร์ ฟาร์ท กัปตันทีมได้ย้ายไปอยู่กับฮัมบูร์ก ทำให้บทบาทสำคัญในแดนกลางของทีมตกอยู่กับจอมทัพฉบับกระเป๋ารายนี้มาโดยตลอด ซึ่งก็รวมไปถึงในทีมชาติฮอลแลนด์ด้วย

และหลังจากที่ฝีเท้าสุกงอมในฤดูกาล 2006-07 ซึ่งสไนเดอร์ทำผลงานได้สุดยอดทำไปถึง 18 ประตูจากตำแหน่งกองกลางทำให้ตกเป็นข่าวว่าอาจจะย้ายไปค้าแข้งในต่างแดนบ้าง และมีข่าวลือกับสโมสรยักษ์ใหญ่มากมาย

แต่สุดท้ายก็เป็น "ราชันชุดขาว" เรอัล มาดริด ที่ได้ตัวเพชรเม็ดงามจากอัมสเตอร์ดัมเม็ดนี้ไปครอง โดยแบร์นด์ ชูสเตอร์ กุนซือชาวเยอรมันได้ซื้อสไนเดอร์มาด้วยค่าตัวถึงกว่า 27 ล้านยูโร เป็นรองคนเดียวคือรุด ฟาน นิสเตลรอย กองหน้ารุ่นพี่ที่อยู่ในซานติอาโก เบอร์นาบิวเหมือนกัน ในครั้งที่ย้ายจากพีเอสวี ไปอยู่กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดด้วยค่าตัว 30 ล้านยูโร

นอกจากสไนเดอร์แล้วยังมีรอยสตัน เดรนเธ่ ดาวรุ่งสารพัดประโยชน์เจ้าของซ้ายเทอร์โบ และอาร์เยน ร็อบเบน ปีกซ้ายจอมกระชากที่ย้ายมาอยู่ร่วมกันในทีมเรอัล มาดริดด้วย แต่ไม่มีใครที่จะเล่นได้เด่นเกินหน้าสไนเดอร์ที่ทำประตูในเกมนัดประเดิมฤดูกาลใหม่ให้ลอส เมเรนเกสเอาชนะแอตเลติโก มาดริด ทีมคู่ปรับร่วมเมืองได้ 2-1 ก่อนที่จะทำอีก 2 ประตูในเกมที่แชมป์เก่าลา ลีกาบุกไปเอาชนะบียาร์เรอัล ได้ถึง 5-0 ซึ่งหนึ่งในนั้นได้จากการยิงฟรีคิกตามสไตล์ด้วย

แม้จะโด่งดังมานานเนื่องจากแจ้งเกิดอย่างรวดเร็ว แต่เส้นทางของสไนเดอร์ในวงการลูกหนังยังเหลืออีกยาวไกลเพราะเพิ่งจะอายุเพียงแค่ 25 ปีเท่านั้น และมีโอกาสจะเป็นนักเตะในตำนานของวงการฟุตบอลฮอลแลนด์ได้อีกคนหนึ่งเช่นกัน

ADS