ประวัติ ฟาบิโอ คันนาวาโร่

| 01/01/1970 07:00 น. | 5095 Views

Bee Taechaubol Fabio Cannavaro Patrick Kluivert Michael Owen 2014

     ฟาบิโอ คันนาวาโร อดีตปราการหลังกัปตันทีมชาติอิตาลี เชื่อว่า บี เตชะอุบล จะสามารถพาทีม เอซี มิลาน กลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่ได้อย่างแน่นอนในอนาคตอันใกล้นี้

     นักธุรกิจชาวไทยยุติมหากาพย์การซื้อขายสโมสร รอสโซเนรี ด้วยการประกาศข้อตกลงอย่างเป็นทางการในการซื้อขายหุ้นจำนวน 48% จาก ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี ประธานสโมสรเอซี มิลาน ด้วยจำนวนเงินที่คาดการณ์กันว่าน่าจะอยู่ที่ 485 ล้านยูโร

     "แรกเริ่มเลย ผมแนะนำให้ คุณบี ซื้อ นาโปลี" คันนาวาโรกล่าวกับ โกล "อย่างไรก็ดี เขาเป็นกองเชียร์ขนานแท้ของทีม เอซี มิลาน ตั้งแต่เขายังอยู่ที่ออสเตรเลีย

     "ต้องขอบคุณ พาโบล ดานา แบงเกอร์ ที่ ดูไบ ซึ่งเป็นพันธมิตรกับ Global Legends Soccer (GLS) ด้วย ที่ทำให้ คุณบี ได้รู้จักกับ แบร์ลุสโคนี

     "ด้วยฝีมือของคุณบี เอซี มิลาน จะได้กลับมาเป็นทีมใหญ่ทีมใหม่ในวงการฟุตบอลนานาชาติ ภายในเวลาเพียงไม่กี่ปีอย่างแน่นอน"

 

ฟาบิโอ คันนาวาโร่

ข้อมูลส่วนตัว

ชื่อ : ฟาบิโอ คันนาวาโร่
วันเกิด : 13 กันยายน 1973
เกิดที่ : เนเปิ้ลส์, อิตาลี
ตำแหน่ง : กองหลัง
ส่วนสูง : 176 ซม.
ฉายา : Il muro di Berlino (กำแพงเบอร์ลิน)
สโมสรปัจจุบัน : ยูเวนตุส
หมายเลขเสื้อ : 5

ฟาบิโอ คันนาวาโร่ ชื่อนี้ไม่มีใครในโลกลูกหนังที่ไม่รู้จักเพราะเขาคนนี้คือกัปตันทีมชาติอิตาลี ที่ได้เดินนำหน้าทุกคนขึ้นไปชูถ้วยฟีฟ่า เวิลด์ คัพ ที่เยอรมนี เมื่อเดือน ก.ค. และกำลังจะขึ้นรับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของยุโรป หรือรางวัล "บัลลงดอร์" ในเดือนหน้านี้ ถ้าไม่มีอะไรผิดความคาดหมาย

คันนาวาโร่ เป็นหนึ่งในสุดยอดกองหลังของโลกมาช้านาน และได้รับการยกย่องอย่างสูงในฐานะกองหลังสุดแกร่งที่มีพร้อมสรรพทั้งการอ่านเกม แรงปะทะ และหัวจิตหัวใจที่ไม่ค่อยท้อถอย แม้ว่าร่างกายจะไม่ได้สูงใหญ่อะไรเลยเพราะมีส่วนสูงแค่ 1.76 ซ.ม.เท่านั้นเอง

กองหลังคิ้วเข้มเกิดที่เมืองเนเปิ้ลส์ ย่อมต้องเป็นสาวกของทีมนาโปลี มาตั้งแต่เด็กๆ และมีฮีโร่ในวัยเด็กคือดีเอโก้ มาราโดน่า เทพเจ้าลูกหนังของชาวเมืองเนเปิ้ลส์ และยังรวมถึงชีโร่ แฟร์ราร่า อดีตกองหลังจอมเก๋าทีมชาติอิตาลี ที่เคยค้าแข้งกับทั้งนาโปลี และยูเวนตุส ซึ่งก็เป็นเส้นทางที่คันนาวาโร่ เลือกเดินตามในชีวิตนักเตะ

ในวัยเด็ก คันนาวาโร่ มีความทรงจำพิเศษกับฟุตบอลโลกในปี 1990 ซึ่งอิตาลี เป็นเจ้าภาพเอง โดยในเกมสำคัญคือในรอบรองชนะเลิศที่ทีมอัซซูรี่ ต้องพบกับทีมเบียงโคชิเลสเต้ หรือทีม "ฟ้าขาว" อาร์เจนติน่า เจ้าหนูคันนาวาโร่ ได้เป็นเด็กเก็บบอลในสนามซาน เปาโล ซึ่งเป็นสนามเหย้าของนาโปลีด้วย (เนื่องจากตอนนั้นเป็นเด็กเยาวชนในทีมนาโปลีนั่นเอง) และได้สัมผัสกับฮีโร่ในดวงใจอย่างมาราโดน่า อย่างใกล้ชิด แม้ว่าเกมนั้นเสือเตี้ย จะทำให้ชาวอัซซูรี่ อกหักทั้งประเทศด้วยการเขี่ยเจ้าภาพตกรอบรองชนะเลิศก็ตาม

หลังจากนั้นไม่กี่ปีคันนาวาโร่ ก็ได้เริ่มต้นเส้นทางชีวิตพ่อค้าแข้งที่นาโปลี เป็นทีมแรกในชีวิต และก็สามารถสร้างชื่อได้อย่างรวดเร็วเนื่องจากมีพรสวรรค์ของการเป็นกองหลังอยู่เต็มเปี่ยม และได้เริ่มต้นเล่นเกมกัลโช่ เซเรีย อา ในวันที่ 7 มี.ค.1993 ในการออกไปเยือนทีม "ม้าลาย" ยูเวนตุส ว่าที่ทีมในอนาคตของเขาที่ขณะนั้นโดยที่ยังไม่รู้ตัว

คันนาวาโร่ เป็นแกนหลักของนาโปลี ที่อยู่ในยุคตกต่ำหลังการจากไปของมาราโดน่าได้ไม่นาน ก็ต้องถูกขายทอดตลอดให้ปาร์ม่า ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดเพราะเป็นการย้ายทีมเพื่อหาเงินช่วยสโมสรแรกของเขา

แต่เป็นที่ทีม "จัลโล่บลู" นี่เองที่กลายเป็นแหล่งเพาะพรสวรรค์ของเขาอย่างแท้จริง เมื่อคันนาวาโร่ แจ้งเกิดในฐานะกองหลังดาวรุ่งพรสวรรค์ของวงการฟุตบอลอิตาลี โดยจับคู่กับลิลิยอง ตูราม กองหลังตัวแกร่งชาวฝรั่งเศส และจานลุยจิ บุฟฟ่อน ผู้รักษาประตูดาวรุ่งที่ต่อมาทั้ง 3 ได้กลายเป็นนักเตะระดับโลกกันถ้วนหน้า

ที่ปาร์ม่า คันนาวาโร่ ผนึกกำลังกับตูราม และบุฟฟ่อน เป็นสามทหารเสือแนวรับที่ช่วยทำให้ทีมมีผลงานดีเยี่ยม และมีฤดูกาลที่ดีที่สุดในปี 1997 เมื่อสามารถจบฤดูกาลด้วยอันดับ 2 เป็นรองแค่ยูเวนตุสเท่านั้น ก่อนที่ในฤดูกาลถัดมา 1998-99 ปาร์ม่า จะได้ดับเบิ้ลแชมป์ ยูฟ่า คัพ และแชมป์โคปา อิตาเลีย

คันนาวาโร่ รับใช้ปาร์ม่าอย่างซื่อสัตย์อยู่ 7 ปี ก็ได้ตัดสินใจย้ายไปร่วมทีมอินเตอร์ มิลาน ด้วยค่าตัวมหาศาลถึง 32 ล้านยูโร แต่ไม่ประสบความสำเร็จก่อนจะยุติเส้นทางกับทีมเนรัซซูรี่ ไว้แค่ 2 ปีเท่านั้น โดยมียูเวนตุส รับใช้บริการต่อ

และที่ทีมเบียงโคเนรี่ คันนาวาโร่ ได้กลับมาผนึกกำลังกับเพื่อนเก่าอย่างตูราม และบุฟฟ่อนอีกครั้ง และทำให้ยูเว่ มีแนวรับที่แข็งแกร่งที่สุดในกัลโช่ เซเรีย อา รวมถึงยุโรป และในปี 2005 คันนาวาโร่ ก็ได้สัมผัสกับ "สคูเด็ตโต้" หรือแชมป์อิตาลี เป็นครั้งแรกก่อนที่จะได้แชมป์สมัยที่ 2 ในปีถัดมา

สำหรับในเส้นทางทีมชาติ คันนาวาโร่ ติดทีมชาติอิตาลีชุดอายุต่ำกว่า 21 ปีมาตั้งแต่ 1992 ก่อนที่จะถูกเลื่อนขึ้นมาติดทีมชาติชุดใหญ่ในปี 1997 ในเกมกับทีมชาติไอร์แลนด์เหนือ ก่อนจะยึดพื้นที่ในทีมชาติมาได้โดยตลอด

ศึกใหญ่ครั้งแรกของเขาคือฟุตบอลโลก 1998 โดยที่มีคู่หูคืออเลสซานโดร เนสต้า และก็เป็นคู่กองหลังที่ดีที่สุดในโลก ซึ่งทั้งคู่ก็จับคู่เล่นด้วยกันมาอีกหลายครั้งไม่ว่าจะเป็นฟุตบอลโลก หรือฟุตบอลยูโรก็ตาม

ในปี 2000 คันนาวาโร่ เกือบได้แชมป์ใหญ่รายการแรกแล้วเมื่ออยู่ในทีมชาติอิตาลี ที่ได้เข้าชิงชนะเลิศกับทีมชาติฝรั่งเศส และเกือบจะเป็นฝ่ายชนะอยู่แล้วหากซิลแว็ง วิลตอร์ ไม่ยิงประตูตีเสมอให้เลส์ เบลอส์ ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของเวลาปกติ ก่อนที่ดาวิด เทรเซเกต์ จะยิงประตูชัยให้ "เลส์ เบลอส์" ได้ในช่วงต่อเวลาพิเศษ

แต่ในฟุตบอลโลก 2006 คันนาวาโร่ ที่ได้รับเลือกให้เป็นกัปตันทีมชาติชุดนี้เนื่องจากไร้เงาของเปาโล มัลดินี่ ก็กลายเป็นผู้นำขุนพลอัซซูรี่ เดินไปรับถ้วยฟีฟ่า เวิลด์ คัพ หลังจากที่อิตาลี สามารถล้างแค้นทีมฝรั่งเศสได้ในการดวลจุดโทษ และนี่ถือเป็นเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของคันนาวาโร่

อย่างไรก็ตาม ชีวิตของเขาต้องพลิกผันครั้งสำคัญเมื่อยูเวนตุส ต้นสังกัดถูกศาลตัดสินให้มีความผิดในคดีการมีส่วนต่อการล้มบอลและโดนปรับตกชั้นไปเล่นในกัลโช่ เซเรีย บี ทำให้เหล่าขุนพลเบียงโคเนรี่ ที่ไม่สามารถทนรับการเล่นในดิวิชั่นต่ำกว่าได้กระจัดกระจายแยกย้ายไปคนละทิศทาง ซึ่งคันนาวาโร่ ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย

คันนาวาโร่ เลือกย้ายมาอยู่กับทีม "ราชันชุดขาว" เรอัล มาดริด พร้อมกับเอเมอร์สัน กองกลางชาวบราซิล และปักหลักเป็นหัวใจสำคัญในเกมรับของลา เรอัล ในช่วงปี 2006-2009

ฟอร์มของคันนาวาโร่ ดีจัดถึงขนาดได้รับรางวัลบังลงดอร์ ในปี 2006 การันตีคุณภาพของเขาเลย

และด้วยเกียรติยศแห่งลูกบอลทองคำ ก็น่าจะเพียงพอที่จะทำให้ชื่อของฟาบิโอ คันนาวาโร่ ถูกบันทึกไว้ในหอเกียรติยศในฐานะหนึ่งในกองหลังที่แกร่งที่สุดตลอดกาลของโลกลูกหนัง


และไม่นานมานี้ ฟาบิโอ คันนาวาโร่ เพิ่งจะทำสถิติลงเล่นรับใช้ทีมชาติอิตาลีสูงสุดในประวัติศาสตร์ 126 นัด เทียบเท่า เปาโล มัลดินี่ อดีตกัปตันผู้ยิ่งใหญ่ของทัพอัซซูรี่ แต่ไม่มีใครกล่าวขวัญถึงมากเท่าที่ควรนั่นก็คงเป็นเพราะ ผลงานสุดอนาถาของอิตาลีในศึกคอนเฟดเดอเรชั่นส์ คัพมากลบเรื่องอื่นๆ ไปจนหมดสิ้น ทั้งการแพ้อียิปต์แบบช็อกโลก 0-1 ต่อเนื่องด้วยการถูกบราซิลยำใหญ่ 3-0 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 มิ.ย.ที่ผ่านมา จนตกรอบแรกไปอย่างน่าผิดหวัง

เราคงไม่ต้องพูดถึงฟอร์มตกต่ำย่ำแย่ของอิตาลี แต่มาเน้นประเด็นที่ว่า คันนาวาโร่ เพิ่งจะสวมเสื้ออัซซูรี่ลงรับใช้ชาติเป็นนัดที่ 126 ในเกมคอนเฟดฯ รอบแรกนัดสุดท้าย กับบราซิลซึ่งถือเป็นสถิติการลงเล่นให้อิตาลีสูงสุด เท่ากับของเดิมของมัลดินี่ทำไว้

คันนาวาโร่เริ่มเล่นให้อิตาลีนัดแรก ในเกมอุ่นเครื่องที่ชนะไอร์แลนด์เหนือ 2-0 เมื่อวันที่ 22 ม.ค. 1997

12 ปีให้หลังจากนั้น กองหลังชาวนาโปลีก็ยังยืนหยัดรับใช้ชาติบ้านเกิดเหมือนเดิม แถมยังได้รับความไว้วางใจให้สวมปลอกแขนกัปตันทีมอีกด้วย

นอกจากจะสืบทอดตำแหน่ง "อิล กาปิตาโน่" ต่อจากมัลดินี่แล้ว วันนี้กัปตันคันนายังทาบสถิติสูงสุดของอดีตปราการหลังเอซี มิลานได้แล้ว และแน่นอนว่า อีกไม่ช้า เขาจะทำลายสถิติเดิม ซึ่งคงอีกนานกว่าที่มีใครมาแทนได้

คันนาวาโร่ประสบความสำเร็จสูงสุดในการนำพาอิตาลีคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2006 ที่เยอรมันมาครองได้ จากผลงานที่ยอดเยี่ยมทั้งกับยูเวนตุส ต้นสังกัด และกับทัพอัซซูรี่ ทำให้เขากวาดรางวัลบัลลงดอร์ และแข้งยอดเยี่ยมฟีฟ่าในปีนั้นไปครองแบบไม่มีข้อโต้แย้ง

แต่อาถรรพ์รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของฟร้องซ์ ฟุตบอลอาจจะส่งผลอย่างที่ใครหลายคนว่ากันไว้ หรืออาจเป็นเพราะอายุอานามที่มากขึ้น ทำให้นับจากนั้นคันนาก็ไม่สามารถกลับไปยืนยังจุดสูงสุดที่เคยทำได้อีก

ผลงานของเขากับเรอัล มาดริด ตั้งแต่ปี 2006-08 ถือว่าไม่น่าประทับใจนัก และในฤดูกาลใหม่ที่กำลังจะเปิดฉาก เขาก็จะกลับไปเล่นให้ยูเวนตุส ทีมเก่าของตัวเองอีกครั้ง แม้แฟนบอลจะยี้ไม่อยากได้ และตราหน้าเขาว่าทรยศทีมก็ตามที

เท่านั้นยังตกต่ำไม่พอ การนำทัพเพื่อนๆ และรุ่นน้องร่วมทัพอัซซูรี่ลุยแอฟริกาใต้ ในศึุกคอนเฟดเดอเรชั่นส์ คัพ ยังถือเป็นความอัปยศอดสูอีกครั้ง

นอกจากอิตาลีจะเล่นไม่เหลือหลายแชมป์โลกแล้ว นักเตะหลายคนจากชุดประวัติศาสตร์ยังโดนโจมตีว่าเลยผ่านจุดสูงสุดไปหมด และควรจะเปิดโอกาสให้น้องๆ ได้ขึ้นมาแทนที่ แน่นอนว่า คันนาวาโร่ คือ 1 ในแข้งที่โดนวิพากษ์วิจารณ์หนักด้วย

วันเวลาที่ผ่านพ้นไป และสังขารที่ร่วงโรย เป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืน แต่ไม่นึกไม่ฝันว่าอดีตฮีโร่ของชาติอย่างคันนา จะโดนมองข้ามและโดนรุมโจมตีได้มากกว่านี้

แม้วันที่ทำสถิติลงเล่นให้อิตาลีสูงสุด เขาก็ยังไม่ได้รับการยกย่องเท่าที่ควร เพราะดันเล่นด้วยฟอร์มที่ตกต่ำย่ำแย่

ฤดูกาลใหม่ กับทีมเก่า อย่างยูเวนตุส จะเป็นอย่างไรต่อไป ต้องคอยลุ้นกัน

ADS