ประวัติ อันโตนิโอ คาสซาโน่
หากจะหาซูเปอร์สตาร์สักคนที่ชีวิตขึ้นสูง และลงได้ต่ำแบบสุดๆ จนเกือบจะหมดอนาคต ก็ต้องเขาคนนี้ "อันโตนิโอ คาสซาโน่"
ด้วย ความเป็นอัจฉริยะ ฝีเท้าโดดเด่นเหนือเพื่อนร่วมรุ่น ทำให้อันโตนิโอ คาสซาโน่ ได้รับการยกย่องว่าจะเป็นเพชรเม็ดใหม่แห่งวงการฟุตบอลอิตาลี
แต่เขากลับไปได้ไม่ไกลมากพอ เพราะอุปนิสัยความใจร้อน และไม่ฟังใคร ทำให้มีปัญหาในการปรับตัวไม่ว่าจะอยู่สโมสรใด
คาสซาโน่เป็นชาวบารี่โดยกำเนิด และเริ่มต้นค้าแข้งพัฒนาฝีเท้ากับทีมไก่แดนใต้แห่งนี้ จนผลงานเตะตาแมวมองของหลายทีมใหญ่ในประเทศ
แต่เป็นโรม่า ที่เป็นสิงห์ปืนไว เซ็นสัญญาคว้าตัวคาสซาโน่มาร่วมทัพเมื่อมีอายุเพียง 19 ปีในซัมเมอร์ปี 2001 ด้วยค่าตัวที่ถือว่ามหาศาลในสมัยนั้นถึง28 ล้านยูโร
ในปีแรกเขายิงได้แค่ 5 ประตู แต่ที่ทำให้โดดเด่นเป็นที่สนใจของผู้คน ก็เห็นจะเป็นบุคลิกลักษณะความเอาแต่ใจ และอารมณ์ร้อนสุดขีดของเขา
คาสซาโน่มีปัญหากับกุนซือฟาบิโอ คาเปลโล่ จนโดนดร็อป และยังก่อเรื่องไปทั่ว เขาเคยทำสัญลักษณ์มือหยาบคายใส่กรรมการ หลังโดนไล่ออกในเกมโคปปา อิตาเลีย นัดชิงในปี 2003 ด้วย
แม้ผลงานในสนามจะจัดจ้าน แต่คาสซาโน่ยังไม่เลิกนิสัยเกเร เขาออกฤทธิ์กับลุยจิ เดล เนรี่ กุนซือใหม่ของโรม่าในฤดูกาล 2004-05 จนโดนตัดออกจากทีม
จนกระทั่งเดล เนรี่ลาออก แล้วบรูโน่ คอนติ ผู้จัดการทีมก้าวขึ้นมาดูแลทีมหมาป่าชุดใหญ่ชั่วคราว คาสซ่าจึงได้กลับมาลงสนามอีกครั้ง
และได้รับมอบหมายในสวมปลอกแขนกัปตันทีมหมาป่า แทนที่ฟรานเชสโก้ ต๊อตติ ดาวยิงรุ่นพี่ที่สนิทสนมกัน ซึ่งโดนแบนไป 5 นัด
แต่ความรักแบบพี่น้องต้องสะบั้นลงในภายหลังด้วยสาเหตุที่ไม่มีใครรู้ ประกอบกับหัวหอกเลือดร้อนมีความขัดแย้งกับสโมสรเรื่อต่อสัญญาใหม่ ทำให้โรม่าต้องขายเขาให้เรอัล มาดริดในเดือนมกราคมปี 2006
การย้ายของเขาสร้างความฮือฮา และได้รับการจับตามอง เพราะเป็นการกลับไปร่วมงานกับคาเปลโล่ อดีตนายใหญ่หมาป่าซึ่งคุมเรอัล ในยามนั้น
คาสซ่าเปิดตัวได้สวย เมื่อลงเล่นนัดแรกในเกมโกปา เดล เรย์กับเรอัล เบติส เพราะเขายิงประตูแรกได้ทันที ทั้งที่เพิ่งลงได้แค่ 3 นาทีของครึ่งหลัง
แต่ด้วยนิสัยเดิมๆ และความไร้วินัย ทำให้เขาไม่ค่อยได้รับโอกาสลงสนาม คาสซาโน่จึงปล่อยตัวอ้วนเผละ ส่งผลให้มาดริดขู่ปรับเงินเขาในทุกๆ กรัมของน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นสถานการณ์ความขัดแย้งมาแตกหักในวันที่ 30 ต.ค. 2006 เมื่อเว็บไซต์ของเรอัล มาดริด ประกาศแบนยาวคาสซาโน่ เนื่องจากแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว ไม่เคารพกุนซือคาเปลโล่
ในระหว่างนั้น เขาพยายามง้อขอคืนดีกับต๊อตติ เพื่อย้ายกลับโรม่า แต่ก็ได้รับการเมินเฉยเป็นคำตอบ ทำให้คาสซาโน่ต้องอยู่กับเรอัลต่อไป โดยรักษาอาการบาดเจ็บข้อเท้าไปด้วย และไม่ได้ลงสนามเลย
สุดท้ายเรอัลทนไม่ไหว ทำทุกอย่างเพื่อจะขายเขาออกไปหลังจบฤดูกาลปี 2006-07 และในที่สุดคาสซ่าก็ปฏิเสธโอกาสย้ายซบแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพื่อกลับไปเล่นในอิตาลีกับซามพ์โดเรีย
ลา ซามพ์ยืมตัวดาวยิงชาวบารี่เป็นเวลา 1 ปี และช่วยจ่ายค่าตัวแค่ 1.2 ล้านยูโร จากทั้งหมด 4.2 ล้านยูโร
และเขาก็ประกาศตั้งแต่วันแรกที่ได้มาลา ซามพ์ว่าจะขอปรับปรุงตัวใหม่ เพื่อเป็นการตอบแทนที่ซามพ์ให้โอกาสเขา
คาสซาโน่ทำได้อย่างที่พูด เขาโชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมยิงประตูให้ซามพ์โดเรียเป็นกอบเป็นกำ และเป็นคีย์แมนที่ทำให้ทีมได้โควตาลุยยูฟ่า คัพ
แม้จะยังมีปัญหาในการควบคุมอารมณ์บ้าง เมื่อไปขว้างเสื้อใส่กรรมการหลังโดนไล่ออกจนโดนแบน 5 นัด แต่เจ้าตัวก็ยังรู้จักขอโทษทุกฝ่าย ไม่เหมือนคาสซาโน่คนก่อนที่ไม่เคยเห็นหัวใคร
ด้วยผลงานและพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ซามพ์โดเรียจึงขอเซ็นสัญญาถาวรกับเขา โดยที่เรอัล มาดริดก็ยอมปล่อยให้โดยไม่เอาค่าตัวสักแดง
ซึ่งผลงานที่ยอดเยี่ยมกับลา ซามพ์ก็ช่วยให้เขากลับมาติดทีมชาติอิตาลีอีกครั้ง และได้รับเลือกให้ไปร่วมลุยยูโร2008 อีกด้วย หลังจากถูกมาร์เชลโล่ ลิปปี้ เมินไม่ใช้งานในเวิลด์คัพ 2006
แต่น่าเสียดายที่คาสซาโน่เล่นไม่ออกในยูโรที่ผ่านมา ยิงไม่ได้สักประตู และทีมก็ต้องตกรอบพ่ายต่อสเปนไปในรอบก่อนรองชนะเลิศ
ก่อนหน้านั้นคาสซ่าเองก็เคยร่วมทัพอัซซูรี่ไปลุยยูโร 2004 และยิงประตูชัยให้อิตาลีชนะบัลแกเรีย 2-1 แต่ก็ไม่เพียงพอ เพราะทัพอัซซูรี่ก็ร่วงตกรอบแรกไปอย่างน่าผิดหวัง
มาถึงตอนนี้ วันที่ลิปปี้กลับมาเป็นอิล ชิที อัซซูรี่อีกครั้ง เหมือนคาสซาโน่จะต้องทำใจว่าโอกาสที่จะติดธงก็ลดน้อยลง เพราะลิปปี้ไม่ชอบนักเตะเจ้าอารมณ์ที่ทำให้ทีมเสียระบบ
และเขาก็ส่งสัญญาณให้เห็นด้วยการไม่เรียกคาสซ่าติดธงในเกมอุ่นเครื่องกับเบลเยี่ยม เมื่อวันพุธที่ 20 ส.ค.ที่ผ่านมา
ทำให้คาสซาโน่ต้องงัดเอาฟอร์มที่ดีที่สุดออกมาให้ได้ หากอยากจะกลับไปรับใช้อิตาลี และสร้างชื่อในระดับนานาชาติอีกครั้ง