ประวัติ ชุสติน เอแน็ง
ประวัติชุสติน เอแน็ง
ชื่อ-นามสกุล : ชุสติน เอแน็ง ประเทศ : เบลเยี่ยม ที่พักอาศัย : มอนติ คาร์โล, โมนาโก วันเดือนปีเกิด : 1 มิถุนายน 1982 (อายุ 25 ปี) สถานที่เกิด : ลีเก้, เบลเยี่ยม ส่วนสูง : 1.67 เซนติเมตร (5 ฟุต 6 นิ้ว) น้ำหนัก : 57 กิโลกรัม (125 ปอนด์) เริ่มเล่นเทนนิสอาชีพ : 1 มกราคม 1999 จุดเด่น : แบ็คแฮนด์มือเดียว เงินรางวัล : 16,107,749 เหรียญสหรัฐ ฯ สถิติในการเล่น : ชนะ 452 ครั้ง แพ้ 103 ครั้ง สถิติการคว้าแชมป์ : 34 รายการ (Grand Slam 6, WTA Championships 1, Tier I 8, Tier II 14, Tier III 3, Tier IV & V 1 และ Olympics Games 1) อันดับโลก : อันดับ 1 (20 ตุลาคม 2003)
ประวัติ
ชุสติน เอแน็ง นักเทนนิสหญิงมือวางอันดับ 1 ของโลกคนปัจจุบัน เป็นยอดนักเทนนิสหญิงวัย 25 ปี ที่สามารถคว้าแชมป์เทนนิสรายการต่างๆ มากมาย ทั้งรายการยิ่งใหญ่ที่สุดอย่าง แกรนด์สแลม ซึ่งเธอคว้าแชมป์ได้ 6 ครั้ง จากการเข้าชิงทั้งหมด 10 ครั้งด้วยกัน, แชมป์ดับบลิวทีเอทัวร์ รวมถึงยังได้เหรียญทองกับทีมชาติเบลเยี่ยม ในกีฬาโอลิมปิกปี 2004 ที่กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ อีกด้วย
อาจกล่าวได้ว่า สื่อและแฟนๆ เทนนิสต่าง ก็ ยกย่องให้เธอเป็น "ราชินีคอร์ตดิน" เนื่องจากเธอสร้างประวิติศาสตร์คว้าแชมป์ เฟร้นช์ โอเพ่น ได้ถึง 4 สมัยติดต่อกัน ในปี 2003, 2005, 2006 และ 2007แซงหน้า โมนิก้า เซเลส นักเทนนิสสาวชาวอเมริกัน ที่เคยทำสถิติคว้าแชมป์ เฟร้นช์ โอเพ่น 3 สมัยซ้อน มาแล้ว ก่อนหน้านี้
ความยอดเยี่ยมของ นักเทนนิสสาวชาวเบลเยี่ยม ซึ่งกวาดแชมป์มาได้ 34 รายการ ได้สร้างการยอมรับถึงความเป็นอัจฉริยะแห่งวงการลูกสักหลาดของเธอได้เป็นอย่างดี ถึงกระทั้งที่ผู้เชี่ยวชาญด้านวงการเทนนิสหลายคน กล่าวถึงเป็นเสียงเดียวกันว่า ปัจจัยสำคัญยิ่งที่ทำให้เธอประสบความสำเร็จดังเช่นทุกวันนี้ นั่นคือ มาจากจิตใจที่แกร่งดังหินผา และลูกตีแบ็คแฮนด์มือเดียวอันทรงพลังของเธอ นั่นเอง (แม้กระทั่ง จอห์น แม็คเอนโร่ นักเทนนิสชายระดับตำนาน ยังยกย่องว่า เป็นแบ็คแฮนด์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในวงการนักเทนนิสชายหรือนักเทนนิสหญิง)
ชีวิตครอบครัวชุสติน เอแน็ง เกิดเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 1982 เกิดที่เมือง ลีเก้ ในประเทศเบลเยี่ยม เกิดในครอบครัวชนชั้นกลาง โดยบิดาของเธอชื่อ โจเซ่ เอแน็ง ขณะที่มารดาของเธอชื่อ ฟรานโคเซ่ โรซิเออร์ ซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศสและมีอาชีพเป็นครูสอนวิชาประวัติศาสตร์ เอแนง มีพี่น้องทั้งหมด 4 คน โดยมีพี่ชาย 2 คน (เดวิด และ โธมัส) และ น้องสาว 1 คน (ซาราห์) อย่างไรก็ตาม เธอยังมีพี่สาวคนโตอีกหนึ่งคน แต่เสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ขณะที่ ชุสติน เพิ่งจะลืมตาดูโลก
ตอนที่เอแน็ง อายุได้ 2 ขวบ ครอบครัวของเธอก็ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่เมือง โรเชฟอร์ด ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับ สโมสรเทนนิสของท้องถิ่น ที่ซึ่งเธอได้จับแร็คเก็ตเป็นครั้งแรกในชีวิต จนเมื่อเธออายุได้ 6 ขวบ เอแน็ง ก็ได้เข้าร่วมกับสโมสรเทนนิส ซิเน่ย์ หลังจากที่ โค้ชที่นี้เอง ก็ผู้ที่ค้นพบพรสวรรค์อันเจิดจรัสของเธอโดยบังเอิญ
อาจกล่าวได้ว่า ผู้ที่สร้างแรงบันดาลใจให้เธอสามารถก้าวมาเป็นนักเทนนิสหมายเลข 1 ของโลกได้ น่าจะได้รับอิทธิพลมาจาก มารดาของเธอซึ่งมักจะพาลูกสาวคนนี้ข้ามเขตแดนจากประเทศเบลเยี่ยมไปประเทศฝรั่งเศส อยู่เสมอ เพื่อเข้าชม เทนนิสแกรนด์สแลม รายการ เฟร้นช์โอเพ่น ซึ่ง เอแนง ก็เคยมีโอกาสได้เข้าชม เฟร้นช์โอเพ่น รอบชิงชนะเลิศ ระหว่าง สเตฟฟี่ กราฟ นักเทนนิสชาวเยอรมัน ซึ่งเป็นขวัญใจของเธอ ลงหวด กับ โมนิกา เซเลส นักเทนนิส
ชาวอเมริกัน ในปี 1992 แม้ว่าในเกมวันนั้น ฮีโร่ของเธอจะพลาดท่าพ่ายให้กับ โมนิก้า เซเลส แต่มันก็เป็นประสบการณ์ที่สร้างความประทับใจอันยิ่งใหญ่ให้กับ เด็กสาวชาวเบลเยี่ยมคนหนึ่ง ที่ได้บอกกับ ผู้ที่เป็นมารดาของเธอว่า
สักวันเธอจะได้เล่นที่สนามแห่งนี้ และจะเป็นผู้ชนะให้ได้ในปี 1995 ได้เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของ เอแนง ในวัยเพียง 12 ขวบ โดยเธอต้องสูญเสียมารดา และภายหลังจากที่มารดาของเอแนง เสียชีวิตได้ไม่นาน เอแนงต้องมีปัญหากับครอบครัวทั้งในด้านความขัดแย้งบิดาของตนเองเกี่ยวกับความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ทั้งในด้านเส้นทางการเป็นเทนนิสอาชีพของเธอ รวมถึงความสัมพันธ์ของเธอกับ ปิแอร์-เยฟส์ อาร์เดนน์ แฟนหนุ่ม จนทำให้เธอแยกออกมาอยู่ข้างนอก โดยได้ไปอาศัยอยู่กับ คาร์ลอส โรดิงเกวซ ซึ่งเป็นเทรนเนอร์ของเธอ อาจกล่าวได้ว่า โรดิงเกวซ ไม่เพียงแต่กลายเป็นเทรนเนอร์ของเธอ แต่ยังเป็น พ่อคนที่สองอีกด้วย
เมื่อจวบจนเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2002 เอแนง ได้เข้าพิธีวิวาห์กับ ปิแอร์-เยฟส์ แฟนหนุ่มชาติเดียวกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2004 เอแนงก็ต้องถอนตัวจากรายการเทนนิสที่ออสเตรเลีย และยังรวมไปถึง รายการแกรนด์สแลม ออสเตรโอเพ่น ด้วย เนื่องจาก ปัญหาส่วนตัว โดยหลายสำนักข่าวต่างก็รายงานว่า เธอเตรียมที่จะหย่าสามีของเธอ ซึ่ง เธอก็ได้ออกมายืนยันผ่านเว็บไซต์ส่วนตัวว่า เธอได้แยกกับสามีของเธอแล้ว
และได้กลับมาใช้ชื่อ-นามสกุล เป็น "ชุสติน เอแน็ง" เหมือนเดิม แทนที่ชื่อ "ชุสติน เอแน็ง-อาร์เดนน์" เหมือนเมื่อครั้งที่แต่งงานด้วยปัญหา การหย่าร้างของ เอแนง และอุบัติเหตุทางรถยนต์อย่างร้ายแรงที่เกิดขึ้นกับพี่ชายของเธอ ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ช่วยให้เธอกลับไปติดต่อกับครอบครัวอีกครั้ง ซึ่งในระหว่างรายการ เฟร้นช์ โอเพ่น เมื่อปี 2007 ถือเป็นครั้งแรกที่ พี่ชายเธอและน้องสาวของ เอแนง ได้เข้ามานั่งให้กำลังใจเชียร์การแข่งขันเทนนิสอาชีพของเธอ และนี้ก็เป็นชัยชนะที่สำคัญที่สุดเหนือผลการแข่งขัน คือ การที่เธอได้ครอบครัวเธอกลับมา หลังจากที่ต้องแยกจากครอบครัวมาตั้งแต่อายุ 14
ชัยชนะในครั้งนี้เธอจึงอุทิศแด่ครอบครัวของเธอ เป็นครั้งแรกที่เธอกล่าวขอบคุณพี่น้อง และที่สำคัญพ่อของเธอ แต่ยังไงเธอก็ไม่ลืมที่จะเงยหน้าขึ้นท้องฟ้า และขอบคุณคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตเธอ แม่คนที่มองความสำเร็จเธอจากบนฟ้า และอยู่ในใจเธอเสมอ
การเริ่มต้นเส้นทางลูกสักหลาดในช่วงเริ่มต้นของการเทิร์นโปรเป็นนักเทนนิสอาชีพของ เอแน็ง ซึ่งเป็นที่รู้จักดีในหมู่แฟนๆ เทนนิสของเธอซึ่งมักจะเรียกเธอว่า "จูจู้" ได้รับการถ่ายทอดวิชาเทนนิสจาก คาร์ลอส โดมิงเกวซ เทรนเนอร์ชาวอาร์เจนติน่า ขณะที่เธอมีอายุ 14 ขวบ และเมื่อปี 1997 เธอก็สามารถคว้ามแชมป์หญิงเดี่ยวในรายการ เฟร้นช์ โอเพ่น ในประเภทเยาวชนได้สำเร็จ นอกจากนี้ เอแนง ก็มักที่จะทะลุผ่านเข้าไปถึงรอบลึกๆ ในการแข่งขันระดับนานาชาติได้เสมอ
และเธอก็คว้าแชมป์มาได้ 5 รายการ ของ สหพันธ์เทนนิสนานาชาติ เมื่อจบปี 1998จนกระทั่งในปี 1999 เอแนง ได้เริ่มการเป็นนักเทนนิสอาชีพเป็นครั้งแรกในรายการแข่งขันของ สมาคมนักเทนนิสหญิงนานาชาติ (ดับบลิวทีเอ) เมื่อเดือนพฤษภาคม 1999 โดยเธอเป็นมือไวด์คาร์ดเข้าไปเล่นในรายการ เบลเยี่ยม โอเพ่น ที่เมือง อันเวิร์บ และ เธอก็ได้สร้างความตะลึงให้กับวงการเทนนิสหญิงโดยการเป็นนักเทนนิสคนที่ 5 ที่โดยสามารถสามารถคว้าแชมป์รายการแรกได้ตั้งแต่เริ่มการเป็นนักเทนนิสอาชีพของรายการ ดับบิวทีเอ
ในปี 2001 เอแนง ก็สามารถสร้างชื่อในวงการเทนนิสได้ เมื่อเธอเข้าไปถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ ของรายการ เฟร้นช์ โอเพ่น และ รอบชิงชนะเลิศ ของรายการ วิมเบิลดัน และต้องพ่ายให้กับ เซเรน่า วิลเลี่ยส์ นักเทนนิสชาวสหรัฐฯ
ซึ่งเมื่อจบการแข่งขันในปีนั้น เอแนง ก็รั้งอยู่อันดับที่ 7 ของโลก ด้วยการคว้าแชมป์ประเภทหญิงเดี่ยวได้ 3 รายการ นอกจากนี้ ยังสามารถทะลุเข้าไปถึงรอบก่อนรองชนะเลิศประเภทหญิงคู่ ร่วมกับ อีเลน่า ตาตาร์โกว่า
ในรายการเฟร้นช์โอเพ่นในปีเดียวกันด้วย นอกจากนี้ เธอยังเป็นหนึ่งในทีมนักเทนนิสหญิงของทีมชาติเบลเยี่ยมที่ สามารถคว้าแชมป์ เฟดคัพ มาครองได้ด้วย ในปี 2001 (ชุสติน เอแนง และ คิม ไครจ์สเตอร์ส)เมื่อปี 2002 เอแนง ทะลุเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศได้ถึง 4 รายการ โดยที่คว้าแชมป์ได้ 2 รายการ และจบด้วยอันดับที่ 5 ของโลกในปีนั้น โดยที่ชัยชนะของเธอในรายการ เยอรมัน โอเพ่น ในปีนั้น ถือเป็นชัยชนะที่ควรค่าแก่การบันทึกสำหรับเธออย่างยิ่ง หลังจากที่เธอปราบสองยอดนักเทนนิสหญิงชาวอเมริกัน นั่นคือ เจนนิเฟอร์ คาปริอาตี้ ในรอบรองชนะเลิศ และ เซเรน่า วิลเลี่ยมส์ ในรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งขณะนั้นเป็นถึงมือวางอันดับ 2 และ 5 ตามลำดับ
จนในที่สุด ชุสติน เอแนง ก็ประกาศศักดาคว้าแชมป์แกรนด์สแลมได้เป็นครั้งแรกในชีวิตในศึกเฟร้นช์ โอเพ่น ในปี 2003 หลังโชว์ฟอร์มคว่ำ คิม ไครจ์สเตอร์ นักเทนนิสเพื่อนร่วมชาติไปในรอบชิงชนะเลิศ ด้วยสกอร์ 2 เซ็ตรวด 6-0, 6-4 ซึ่งก่อนหน้าที่จะทะลุมาถึงรอบชิง เธอก็สามารถเอาชนะ เซเรน่า วิลเลี่ยมส์ นักเทนนิสผิวสีขาวอเมริกัน มาได้และในปีต่อมา เธอก็หยิบแชมป์แกรนด์สแลมที่สองของเธอมาได้สำเร็จ ในศึก ยูเอส โอเพ่น ด้วยการเอาชนะ คู่ปรับเดิม ในศึกเฟร้นช์โอเพ่น ในปีเดียวกัน อย่าง คิม ไครจ์สเตอร์ส ไปในรอบชิงชนะเลิศ ด้วยสกอร์ 2 เซ็ตรวด 7-5, 6-1ซึ่งก่อนที่เธอจะผ่านเข้ามสู่รอบนี้ เธอก็เอาชนะ เจนนิเฟอร์ คาปริอาตี้ นักหวดสาวชาวอเมริกัน อย่างมารอนธอน ซึ่งต้องเล่นกันถึงเวลาเที่ยงคืน จนส่งผลให้ ร่างการของเอแนงประสบปัญหาจากการสูญเสียน้ำอย่างมาก อย่างไรก็ตาม เธอก็สามารถกลับมาลงเล่นได้ในนัดชิงชนะเลิศในวันรุ่งขึ้น และคว่ำ ไครจ์สเตอร์ได้สำเร็จ และในที่สุด เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2003 เอแนง สามารถเบียด ไครจ์สเตอร์ส เข้าไปเป็นนักเทนนิสหญิงหมายเลข 1 ของโลกได้สำเร็จ
2004-2005เอแน็ง เริ่มต้นในปี 2004 ด้วยการประเดิมชัยชนะในทัวร์เม้นท์อุ่นเครื่องที่ ซิดนีย์ ซึ่งหลังจากนั้น มันก็เป็นบันได้ให้เธอก้าวสู่แชมป์แกรนด์สแลม ในศึก ออสเตรเลี่ยน โอเพ่น ได้สำเร็จ ด้วยการเอาชนะ คิม ไครจ์สเตอร์ ไปได้อีกครั้ง ด้วยสกอร์ 2-1 เซ็ต 6-3, 4-6, 6-3 แต่การออกสตาร์ในปีนี้ เอแนงก็ต้องประสบปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพซึ่งติดเชื้อไวรัส และ ระบบภูมคุ้มกันในร่างกาย มีปัญหา ส่งผลให้เธอต้องนอนหลับพักผ่อนร่างกายให้ได้ถึง 18 ชั่วโมง ต่อวัน
อย่างไรก็ตาม เธอก็ตัดสินใจลงทำการแข่งขันในศึกเฟร้นช์โอเพ่น ด้วยการจัดให้เป็นมือวางอันดับหนึ่งของรายการก็ตาม แต่เธอก็ต้องตกรอบไปตั้งแต่รอบที่สอง ในเกมที่พบกับ เตเธียน่า การ์บิน นักเทนนิสมือต่ำชั้นกว่า จากอิตาลี หลังจากนั้น เอแนงก็กลับมาแข่งขันในเดือนสิงหาคมในกีฬาโอลิมปิกเกมส์ ที่กรุงเอเธนส์และคว้าเหรียญทองให้กับ เบลเยี่ยมได้สำเร็จ หลังจากหวดเอาชนะ อเมลี โมเรสโม่ นักเทนนิสชาวฝรั่งเศส 2 เซ็ดรวด ด้วยสกอร์ 6-3, 6-3 ทำให้เมื่อจบปี 2004 ด้วยสถิติการลงเล่นไปเพียง 25 เกม แต่ก็สามารถชนะได้ถึง 22 และ แพ้ไปเพียง 1 ครั้งเท่านั้น
ในเดือนกันยายน 2004 เธอต้องพ่ายให้กับ นาเดีย เปโตรว่า ไปในเทนนิสรายการ ยูเอสโอเพ่น ในรอบที่สี่ ซึ่งการแพ้ในครั้งนี้ ทำให้เธอต้องร่วงจากอันดับ 1 ของโลก หลังจากยึดตำแหน่งนี้มานานกว่า 45 สัปดาห์ ด้วยกัน
หลังจากนั้น เอแนงก็ถอนตัวจากอีก 10 รายการที่เหลือในปีนั้น เพื่อพยายามฟื้นฟูรักษาร่างกายของเธอให้กลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง โดยเป้าหมายของเธอที่หวังว่าจะกลับมาลงเล่นให้ได้อีกครั้งช่วงต้นปี 2005 ก็มีอันต้องเลื่อนออกไป
หลังจากที่เธอได้รับบาดเจ็บที่เข่าอีกครั้งระหว่างการฝึกซ้อมในเดือนธันวาคมในวันที่ 25 เดือนมีนาคม หลังจากห่างหายจากการลงสนามแข่งไปกว่า 6 เดือน เอแนง ก็ได้กลับมาจับแร็คเก็ตอีกครั้ง ด้วยการเข้าร่วมทำศึกในรายการ แนสแดค วันฮันเดรด โอเพ่น ที่ ไมอามี่ ซึ่งเธอก็ต้องแพ้ให้กับ มาเรีย ชาราโปว่า นักเทนนิสสาวสวยชาวรัสเซียซึ่งในขณะนั้น เป็นมือวางอันดับ 2 ไปในรอบรองชนะเลิศ และเธอก็กลับมาเล่นอีกครั้งในรายการต่อกมา โดยสามารถกลับมาคว้าแชมป์ได้ในรายการ เทนนิส คอร์ตดิน ได้ในรายการ แฟมิลี่ เซอร์เคิล คัพ ที่ เซาธ์โคโรไลน่า และเธอก็ยังกวาดชัยชนะได้อีก 2 รายการก่อนที่จะลงทำศึกในแกรนด์สแลม เฟร้นช์ โอเพ่น 2005 ซึ่งชัยชนะของเธอที่มีเหนือมือวางอันดับต้นๆ ของโลก อย่าง ลินเซ่ ดาเวนพอร์ต, ชาราโปว่า, อีเลน่า เดเมนเตียว่า, สเว็ตลาน่า คุซเน็ตโซว่า และ เปโตรว่า ได้ทำให้เธอกลับมาเจิดจรัสได้อีกครั้ง
ในรายการเฟร้นช์ โอเพ่น เอแน็ง ถูกจัดให้เป็นมือวางอันดับ 10 ของ และเธอก็ผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ และสามารถล้ม แมรี่ เพียส นักเทนนิสสาวชาวฝรั่งเศสไปได้ 2 เซ็ตรวด 6-1, 6-2 และก้าวสู่บันไดแชมป์ โรแลนด์ การ์โรเป็นครั้งที่สองได้สำเร็จ นับเป็นการชนะบนคอร์ตดิน 24 ครั้ง ติดต่อกันของเธอ และเป็นการชนะในรอบชิงชนะเลิศครั้งที่ 10 หลังจากมันได้เกิดขึ้นครั้งสุดท้ายที่ ซูริค ในเดือน ตุลาคม 2003 ซึ่งหนทางก่อนจะเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ เธอก็ต้องฝ่าด่านทั้ง คุซเน็ตโซว่า ในรอบที่สี่, ชาราโปว่า ในรอบก่อนรองชนะเลิศ และ เปโตรว่า ในรอบรองชนะเลิศ
จากชัยชนะในศึกเฟร้นช์โอเพ่น ดันให้เธอกระโดดจากมืออันดับ 12 ของโลก ไปอยู่ที่มืออันดับ 7 ของโลก และเธอก็กลายเป็นนักเทนนิสคนที่ 2 ของ ดับบลิวทีเอ ทัวร์ ต่อจาก โมนิก้า เซเลส ที่สามารถคว้าแชมป์ เฟร้นช์โอเพ่น อย่างน้อย 2 ครั้ง และไม่เสียเกมให้คู่ต่อสู้เลยสักครั้ง
จบจนมาถึงศึกวิมเบิลดัน 2005 ชัยชนะ 24 เกมติดต่อกันของเธอ ก็ต้องมาสะดุดเมื่อเธอพลิกล็อคแพ้ให้กับ อีเลนี่ เดนิลิดูวร์ 2-1 ด้วยสกอร์ 7-6, 2-6, 7-5 ส่งผลให้เธอกลายเป็นแชมป์เฟร้นช์โอเพ่นคนแรกที่ตกรอบในศึกวิมเบิลดันในการประเดิมสนามรอบแรก และด้วยอาการบาดเจ็บที่เอ็นหัวเข่าอย่างรุนแรงเมื่อต้นปี จึงทำให้เอแนง ทำการแข่งขันไปเพียง 11 เกมเท่านั้น ในปี 2005 อย่างไรก็ตาม ในปีเดียวกันนี้ นิตยสาร เทนนิส ได้ยกย่องให้เธอเป็นนักเทนนิสที่ดีที่สุดอันดับที่ 31 จากทั้งหมด 40 คน ในประวัติศาตร์วงการลูกสักหลาดอีกด้วย
2006จัสติน เอแนง กลับมาลงแข่งขันเทนนิสอีกครั้งในทัวร์นาเม้นท์ที่ ซิดนีย์ ร่วมถึงลงแข่งขันในศึก ออสเตรเลีย โอเพ่น 2006 ด้วย ซึ่งเธอถูกจัดให้เป็นมือวางอันดับ 5 ของรายการ โดยที่รอบแรกเธอต้องมาพบกับ มาร์ติน่า ฮินกิส นักหวดสาวชาวสวิส และอดีตมือหนึ่งของโลก แต่เธอก็เอาชนะไปได้อย่างไม่ยากเย็น 2 เซ็ตรวด ด้วยสกอร์ 6-3, 6-3 แล้ว เอแนง ก็เอาชนะ สเว็ตลาน่า คุซเน็ตโซว่า อดีตแชมป์ยูเอส โอเพ่น ปีที่แล้ว 2 เซ็ตรวด
ด้วยสกอร์ 6-3, 6-1 ในรอบรองชนะเลิศ ก่อนที่จะหวดเอาชนะ ฟราเชสก้า สเชียโวเน่ ไป 2-1 เซ็ต ในรอบชิงชนะเลิศ ด้วยสกอร์ 4-6, 7-5, 7-5ในการแข่งขันรายการ ออสเตรเลียโอเพ่นของ เอแน็ง เธอสามารถล้มได้ทั้ง ลินเซ่ ดาเวนพอร์ต มือวางอันดับ 1 ของโลก และ มาเรีย ชาราโปว่า มือว่าอันดับ 4 ของโลก และก็เกือบที่จะล้ม อเมลี โมเรสโม่ มือวางอันดับ 3 ของโลกได้เช่นกัน ขณะที่ เอแนง นำอยู่ 1 เซ็ต และแข่งค้างในเซ็ตที่ 2 อยู่ที่ 2-0 เอแนง ก็ต้องถอนตัวออกจากเกม หลังจากมีอาการปวดท้องอย่างหนัก ซึ่งสาเหตุก็น่าจะเกิดจากใช้ยาแก้อักเสบเกินขนาดเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บที่ไหล่
เอแนง ถูกสื่อวิพากวิจารณ์ในกรณีดังกล่าว เพราะว่า เธอเคยกล่าวหลังเกมเอาชนะ ชาราโปว่าในรอบที่แล้วว่า เธอมีร่างกายที่ฟิตสมบูรณ์และเป็นการเล่นที่ดีที่สุดในชีวิตของเธอ ซึ่งการถอนตัวของเธอในครั้งนั้น ทำให้เธอเป็นนักเทนนิสเพียงคนที่สองและเป็นคนแรกในประเภทหญิง ที่ถอนตัวออกจากศึกแกรนด์ สแลม ในรอบชิงชนะเลิศ
ในที่สุด เธอก็หยิบแชมป์รายการที่สอง ในปี 2006 ให้กับตนเองได้ในรายการเทนนิสที่ ดูไบ ด้วยการเอาชนะ ชาราโปว่าไปได้ 2 เซ็ตรวด ด้วยสกอร์ 7-5, 6-2 และนี้เป็นแชมป์ที่ดูไบ รายการที่สามของเธอ หลังจากที่ก่อนหน้านี้เคยคว้าแชมป์ได้ในปี 2003 และ 2004 ต่อมาในศึก แปซิฟิค ไลฟ์ โอเพ่น ที่ อินเดียน เวลลส์ เอแนง ก็ต้องมาตกรอบไปในรอบรองชนะเลิศ โดยพ่ายให้กับ อีเลน่า เดเมนเตียว่า 1-2 เซ็ต หลังจากที่เธอเป็นฝ่ายนำก่อนในเซ็ตแรก
และในศึกเทนนิสแนสแดค วันฮันเดรด โอเพ่น ที่ ไมอามี่ เธอก็ถูกเขี่ยตกรอบไปในรอบที่สอง โดยน้ำมือของ เมกาห์นน์ ชาช์เนสซี่ รวมถึงการพลาดหวังที่จะสามารถป้องกันแชมป์ศึกเทนนิสรายการ แฟมิลี่ เซอร์เคิล โอเพ่น ที่ เซาธ์โคโรไลน่า ซึ่งเป็นศึกคอร์ดดินรายการแรกของฤดูกาลอีกด้วย โดยเธอแพ้ให้กับ แพตตี้ ชไนเดอร์ มือวางอันดับ 3 ของรายการไป 1-2 เซ็ต ในรอบรองชนะเลิศ และความพ่ายแพ้ครั้งนี้ทำให้หยุดสถิติชัยชนะ 27 เกมบนคอร์ดดินของเธอลง
ในเดือนเมษายน เอแน็งนำทีมชาติเบลเยี่ยม คว่ำทีมชาติรัสเซีย อดีตแชมป์ในศึกเทนนิสรายการ เฟดคัพ รอบก่อนรองชนะเลิศได้สำเร็จ หลังจากที่เธอหวดเอาชนะ นาเดีย เปโตรว่า นักเทนนิสมือวางอันดับ 5 ของโลก และอีเลน่า
เดเมนเตียว่า มือวางอันดับ 9 ลงได้ ชัยชนะครั้งนี้ ถือว่าสำคัญกับ เอแนงอย่างมาก เพราะว่า เปโตรว่า มีสถิติที่ดีจากการชนะบนคอร์ดดินมาแล้ว 10 เกมติดต่อกัน ขณะที่ เดเมนเตียว่า ก็เคยเอาชนะ เอแนงได้ในการพบกันล่าสุดที่ อินเดียน เวลลส์ รวมทั้งยังเอาชนะ คิม ไครจ์สเตอร์ นักเทนนิสชาวเบลเยี่ยม มือวางอันดับ 2 ของโลก ได้ในการแข่งขันวันแรกอีกด้วย หลังจากนั้น เธอก็ลงป้องกันแชมป์ในรายการ เยอรมัน คัพ และตบเอาชนะ อเมลี โมเรสโม่ ไปได้ 2 เซ็ตรวด ในรอบรองชนะเลิศ อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุดแล้ว เธอก็พลาดท่าแพ้ให้กับ เปรโตว่า ไป 1-2 เซ็ต ด้วยสกอร์ 4-6, 6-4, 7-5เข้าสู่ศึกเทนนิสรายการเฟร้นช์โอเพ่น เอแนง ได้โยนทิ้งความพ่ายแพ้ที่เบอร์ลินไว้เบื้องหลัง และโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการหวดเอาชนะ คิม ไครจ์สเตอร์ มือวางอันดับ 2 ของรายการไป 2 เซ็ตรวด แล้วเธอก็ยังสามารถเอาชนะ คุซเน็ตโซว่า ไปได้ในรอบชิงชนะเลิศ และทำให้เธอคว้าแชมป์รายการนี้เป็นสมัยที่ 3 จาก 4 ปีที่ทำการแข่งขันที่นี้ ซึ่งเอแนง ได้แชมป์โดยที่ไม่เสียเซ็ตให้คู่ต่อสู้เลย และกลายเป็นแชมป์เฟร้นช์โอเพ่นคนแรกที่ป้องกันแชมป์ได้สำเร็จ นับตั้งแต่ที่ สเตฟฟี่ กราฟ เคยทำได้เมื่อปี 1996
เอแนง ได้ลงแข่งขันรายการ อีสบัวร์น ซึ่งเป็นรายการเทนนิสคอร์ดหญ้า และเธอก็คว้าแชมป์มาครองได้ด้วยการเอาชนะ อนาสตาเซีย มีสกิน่า 2-1 เซ็ต ถือเป็นการอุ่นเครื่องก่อนลงทำศึกวิมเบิลดัน ซึ่งเอนแน็ง ถูกจัดให้เป็นมือวางอันดับ 3 ของรายการ และยังเดินหน้าสร้างสถิติด้วยการไม่เสียเซ็ตให้กับคู่แข่งขันเลยจนถึงรอบชิงชนะเลิศ โดยเธอสามารถเอาชนะ คิม ไครจ์สเตอร์ (มือวางอันดับ 2 ของรายการ) ในรอบรองชนะเลิศ แต่น่าเสียดายที่เธอก็ต้องไปพ่ายให้กับ อเมลี โมเรสโม่ 1- 2 เซ็ต ด้วยสกอร์ 2-6, 6-3, 6-4 ในรอบชิงชนะเลิศ
เอแนง ถอนตัวออกจากรายการเทนนิสที่ ซานดิเอโก้ และ มอนทรีอัล เนื่องจากปัญหาอาการบาดเจ็บ แต่เธอก็ยังลงแข่งขันในรายการ ไพลอต เพ็น ที่ นิวเฮเว่น ซึ่งที่นั่นเอง ที่ เธอ สามารถเอาชนะ คุซเน็ตโซว่า และ ดาเวนพอร์ต และหยิบแชมป์มาครองได้สำเร็จ นับเป็นแชมป์รายการที่ 28 ในดับบลิวทีเอทัวร์ ของเธอ และส่งผลให้เธอขยับขึ้นมาเป็นมือวางอันดับ 2 ของโลก และกวาดเงินรางวัลไปแล้วทั้งสิ้นกว่า 12 ล้านเหรียญสหรัฐ (หรือประมาณ 420 ล้านบาท) อย่างไรก็ตาม ในศึก ยูเอส โอเพ่น 2006 ชาราโปว่า ก็เอาชนะ เอแนงไปด้วย 2 เซ็ตรวด ด้วยสกอร์ 6-4, 6-4 ในรอบชิงชนะเลิศ
จากผลการแข่งขันในปี 2006 ทำให้ จัสติน เอแนง ถือเป็นผู้หญิงคนแรก นับตั้งแต่ ฮินกิส ที่เคยทำไว้ในปี 1997 ในการทะลุเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศของทั้ง 4 แกรนด์สแลม ในปีเดียวกัน และยังถือเป็นครั้งแรกที่นักเทนนิสทั้งในประเภทชายและประเภทหญิง ที่มีนักเทนนิสคนเดียวกันที่เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศแกรนด์สแลมทั้ง 4 รายการในปีด้วยกัน ซึ่งฝ่ายก็คือ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ นักเทนนิสมือวางอันดับ 1 ของโลกคนปัจจุบัน
เมื่อจบฤดูกาลแข่งขันเทนนิสในปี 2006 เอแน็ง ได้รับการการันตีให้ครองมือหนึ่งของโลก หลังจากที่เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้ในรายการ ดับบลิวทีเอทัวร์ แชมเปี้ยนชิพ และเอาชนะ ชาราโปว่า ไปได้ 2 เซ็ตรวด ด้วยสกอร์ 6-2, 7-6(5) และเธอก็สามารถคว้าแชมป์รายการนี้มาครองได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในอาชีพนักเทนนิส หลังจากเอาชนะ โมเรสโม่ ไปได้ในรอบชิงชนะเลิศ 2 เซ็ตรวด ด้วยสกอร์ 6-4,6-3 ส่งผลให้ เอแนง ถือเป็นนักเทนนิสคนแรก นับตั้งแต่ ฮินกิส เคยทำได้ในปี 2000 ในการคว้าแชมป์ ดับบลิวทีเอ ทัวร์ แชมเปี้ยนชิพ และจบฤดูกาลแข่งขันด้วยการเป็นมือ 1 ของโลก ซึ่งเธอทำเงินรางวัลในปีนั้นได้ทั้งสิ้น กว่า 4,204,810 เหรียญสหรัฐฯ
2007ก้าวเข้าสู่ปี 2007 ในวันที่ 4 มกราคม เอแน็ง ถอนตัวจากรายการ ออสเตรเลี่ยน โอเพ่น และทัวร์นาเม้นต์ อุ่นครื่องที่ ซิดนีย์ ด้วยปัญหาส่วนตัวอีกครั้ง ซึ่งเป็นผลให้อันดับโลกของเธอเสียตำแหน่งอันดับ 1 ให้กับ มาเรีย ชาราโปว่าไป และทัวร์นาเม้นต์แรกของเธอในปีนี้ เอแน็ง ต้องแพ้ไปในรอบรองชนะเลิศในศึกรายการ โอเพ่น กาซ เดอ ฟร้องซ์ ให้กับ ลูเซีย ซาฟาโรว่า นักเทนนิสสาวชาวเซ็กไป 2 เซ็ตรวด
อย่างไรก็ตาม เธอก็สามารถกลับมาคว้าแชมป์เทนนิสรายการ ฮาร์ทคอร์ต ได้ 2 รายการ ในแถมตะวันออกกลาง นั่นคือ รายการมิดเดิ้ล เวสต์ และ ดูไบ ดิวดี้ ฟรี วูเม้น โอเพ่น ซึ่งเธอคว้าแชมป์ได้เป็นสมัยที่ 4 จาก 5 ปีหลังสุดที่เข้าแข่งขัน ด้วยการเอาชนะ อเมลี โมเรสโม่ ไปในรอบชิงชนะเลิศ 2 เซ็ตรวด ด้วยสกอร์ 6-4, 7-5 และรายการ กาตาร์ โททอล โอเพ่น ที่ โดฮา โดยในรายการนี้ ถือสามารถคว่ำ สเว็ตลาน่า คุซเน็ตโซว่าไปในรอบชิงชนะเลิศ 2 เซ็ตรวด ด้วยสกอร์ 6-4, 6-2 การคว้าแชมป์สองรายการนี้ ส่งผลให้เธอกลับทวงมือหนึ่งของโลก จาก ชาราโปว่า ได้อีกครั้ง ในวันที่ 19 มีนาคม
ในรายการ โซนี่ อีริคส์สัน โอเพ่น ที่ ฟลอริดา เอแน็ง ทะลุเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ เป็นครั้งแรกในรายการนี้ แต่เธอก็ต้องแพ้ให้กับ เซเรน่า วิลเลี่ยมส์ นักหวดเจ้าถิ่นไป 1-2 เซ็ต และเอแน็ง ต้องมาถอนตัวออกจากรายการ แฟมิลี่ เซอร์เคิ้ล คัพ ที่เซาธ์โคโรไลน่า เนื่องด้วยปัญหาเกี่ยวกับระบบการหายใจ อย่างไรก็ตาม ในทัวร์นาเม้นต์ต่อมาของเธอ นั่นคือ รายการ เจแอนด์เอส คัพ ที่ โปแลนด์ เธอก็กลับมาคว้าแชมป์ได้สำเร็จ หลังจากหวดเอาชนะ อโลน่า บอนดาเรนโกไป 2 เซ็ตรวด ในรอบชิงชนะเลิศ
ต่อมาหลังจากรายการ กาตาร์ เทเลคอม เยอรมัน โอเพ่น ที่ เยอรมัน เอแน็ง ต้องเล่นกับ เยเลน่า ยานโควิช นักเทนนิสชาวเซิร์บ อย่างมาราธอน ในรอบก่อนรองชนะเลิศ ก่อนที่จะชนะไปได้ 2-1 เซ็ต อย่างไรก็ตาม เธอก็ต้องมาเสียท่าให้กับ คุซเน็ตโซว่า ในรอบรองชนะเลิศ ซึ่งเป็นการแพ้ครั้งที่สองของเอแน็งที่มีต่อ คุซเน็ตโซว่า ในการพบกันทั้งหมด 16 คร