ประวัติ สตีเฟน จอห์น แนช
สตีเฟน จอห์น แนช (Stephen John Nash) หรือ สตีฟ แนช (Steve Nash) (เกิด 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2517 ในเมืองโยฮันเนสเบอร์ก ประเทศแอฟริกาใต้) เป็นนักบาสเกตบอลที่มีชื่อเสียงชาวแคนาดา
ด้วยส่วนสูงประมาณ 6 ฟุต 3 นิ้ว แนชเป็นพอยท์การ์ดตัวจริงให้กับทีมฟีนิกส์ ซันส์ในลีกเอ็นบีเอ ได้รับเลือกให้เล่นในเกมรวมดารา (All-Star Game) ในปี พ.ศ. 2548 และ 2549 และยังได้รับเลือกก่อนหน้านั้นในปี 2545 และ 2546 ขณะเล่นให้กับทีมดัลลัส แมฟเวอริกส์ ในปี พ.ศ. 2548 แนช ได้รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP) โดยเฉือนเอาชนะแชคิล โอนีลจากทีมไมอามี ฮีท และยังได้รางวัลนี้อีกครั้งในปี พ.ศ. 2549 อีกสมัยหนึ่ง
วัยเด็ก
แนช เกิดในประเทศแอฟริกาใต้เนื่องจากบิดาเขาเป็นนักฟุตบอลอาชีพ แต่ครอบครัวก็ย้ายมาตั้งหลักในประเทศแคนาดาก่อนที่แนชจะมีอายุครบสองขวบ เหตุผลที่ย้ายเพราะครอบครัวของแนชไม่ต้องการเห็นลูก ๆ ของเขาเติบโตในสิ่งแวดล้อมที่มีการเหยียดสีผิวแนชมาจากครอบครัวนักกีฬา จอห์น แนช (John Nash) บิดาของเขาเคยเป็นนักฟุตบอลอาชีพในแอฟริกาใต้ มาร์ติน แนช (Martin Nash) น้องชายเขาได้เล่นให้กับฟุตบอลทีมชาติแคนาดา 30 ครั้ง โจแอน (Joann) น้องสาวเป็นกัปตันทีมฟุตบอลที่มหาวิทยาลัยวิกตอเรียถึงสามปีและยังได้เป็นนักฟุตบอลบริติชโคลัมเบียยอดเยี่ยมแห่งปีตอนอยู่ปีสี่อีกด้วย เนื่องจากบิดาของเขาเป็นคนเมืองทอตแนมทางตอนเหนือของลอนดอน แนชเชียร์ทีมสโมสรทอตแนมฮ็อตสเปอร์และยังได้ฝึกกับทีมตอนที่แนชไปลอนดอนในช่วงวัยรุ่นอีกด้วย ฟุตบอลยังคงเป็นส่วนสำคัญของชีวิตแนช และเมื่อเดิร์ก โนวิตสกี (Dirk Nowitzki) นักบาสเกตบอลชาวเยอรมันเข้ามาเล่นในเอ็นบีเอ เดิร์กและแนชก็กลายเป็นเพื่อนสนิท ส่วนหนึ่งเป็นเพราะทั้งสองชอบดูฟุตบอลด้วยกันอยู่เสมอ
แนชเติบโตขึ้นที่เมืองวิกตอเรีย บริติชโคลัมเบีย และเล่นบาสเกตบอลระดับไฮสกูลที่โรงเรียนเซนต์ไมเคิลยูนิเวอร์ซิตี (St. Michaels University School) พร้อมกับน้อยชายเขาชื่อมาร์ติน ในปีสุดท้ายเขาทำได้เฉลี่ยเกือบเป็นทริปเปิล-ดับเบิลต่อเกม โดยได้เกิน 21 คะแนน 11 แอสซิสต์ และ 9 รีบาวด์ และพาทีมไปคว้าแช้มป์ของจังหวัดบริติชโคลัมเบียในระดับ AAA และเป็นผู้เล่นแห่งปีประจำจังหวัด แนชไม่ถูกรีคลูตโดยมหาวิทยาลัยของสหรัฐอเมริการะดับเอ็นซีดับเบิลเอ (NCAA) เลย เอียน ไฮด์-เลย์ (Ian Hyde-Lay) โค้ชของเขาส่งจดหมายและเทปการเล่นของแนชไปยังมหาวิทยาลัยอเมริกันมากกว่า 30 แห่ง แต่ได้รับการปฏิเสธหรือไม่มีการตอบกลับมา
แต่หัวหน้าโค้ชมหาวิทยาลัยซานตาคลารา (Santa Clara University) ดิก เดวี (Dick Davey) ได้รับคำแนะนำและขอเทปการเล่นถึงสองครั้งก่อนที่จะเดินทางจากแคลิฟอร์เนียไปพบแนชด้วยตัวเอง หลังจากชมการเล่นของแนชแล้ว แนชก็ได้รับทุนของมหาวิทยาลัยซานตาคลาราก่อนฤดูกาล 1992-93 ซึ่งต่อมาเขาก็ได้กลายเป็นนักบาสเกตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในเวสโคสต์คอนเฟอเรนซ์ (West Coast Conference, WCC) เลยทีเดียว
ระดับมหาวิทยาลัย
ตอนอยู่ปีหนึ่ง แนชช่วยให้ซานตาคลารา หรือบรองโกส์ (Broncos) คว้าแชมป์ของทัวนาเมนต์เวสโคสต์คอนเฟอเรนซ์ และได้เข้าไปเล่นในทัวนาเมนต์ของเอ็นซีดับเบิลเอโดยอัตโนมัต แนชยังเป็นนักกีฬาปีหนึ่งคนแรกที่ได้รางวัลเอ็มวีพีในทัวนาเมนต์ WCC ในรอบแรกของทัวนาเมนต์ NCAA เขาทำให้ทีมซึ่งจัดอยู่ในอันดับ 15 เอาชนะทีมอันดับสองของสายคือ มหาวิทยาลัยแอริโซนา ด้วยคะแนน 64-61 แนชชู้ตลูกโทษได้ติดต่อกัน 6 ลูกในช่วง 31 วินาทีสุดท้ายเพื่อเก็บชัยชนะถึงแม้ว่าแนชจะเล่นได้ดีตอนอยู่ปีสอง แต่ทีมกลับไม่ประสบความสำเร็จตามที่หวังไว้และไม่เข้าไปเล่นในทัวนาเมนต์ NCAA แต่มหาวิทยาลัยก็สามารถกลับมารุ่งอีกครั้งในปีถัดมาจากการเล่นของแนช ปีนี้แนชทำคถแนน แอสซิสต์ และเปอร์เซนต์การชู้ตสามคะแนนเป็นอันดับแรกในคอนเฟอเรนซ์ และเป็นคนแรกนับตั้งแต่จอห์น สต็อกตัน (John Stockton) ที่ทำคะแนนและแอสซิสต์ได้มากที่สุดในฤดูกาลเดียวกันใน WCC แต่แนชและเพื่อนร่วมทีมก็ไม่สามารถเอาชนะมหาวิทยาลัยมิสซิสซิปปีสเตตในรอบแรก แนชเคยคิดที่จะเข้าดราฟในเอ็นบีเอหลังจากจบปีสามและเปลี่ยนใจเมื่อรู้ว่าเขาจะไม่ถูกดราฟสูงกว่ารอบที่สอง จึงต้องอยู่พัฒนาฝีมือต่อในมหาวิทยาลัยอีกปี
แล้วแนชก็ทำเช่นนั้น โดยนำทีมของเขาซึ่งจัดอยู่ในสายระดับปานกลางเอาชนะทีมอย่างยูซีแอลเอ และมิชิแกนสเตตในช่วงแรก ๆ ของฤดูกาล
อาชีพการเล่นในเอ็นบีเออยู่กับฟีนิกส์ในสมัยแรก
แนชได้รับเลือกเป็นคนที่ 15 ในการดราฟรอบแรกของเอ็นบีเอเมื่อปี พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) โดยทีมฟีนิกส์ ซันส์ ไม่เคยมีชาวแคนาดาคนไหนที่ถูกเลือกในอันดับสูงเช่นนี้ แต่สิ่งนี้กลับไม่มีความหมายกับแฟนของทีมซันส์และโห่ทีมที่เลือกแนช ถึงแม้ว่าเขาจะประสบความสำเร็จในระดับมหาวิทยาลัย แต่เขาไม่ค่อยเป็นที่รู้จักเพราะไม่ได้เล่นให้มหาวิทยาลัยในคอนเฟอเรนซ์ที่มีชื่อเสียง เขาเล่นสำรองให้กับดาราในเอ็นบีเอคือเจสัน คิด (Jason Kidd) และเควิน จอห์นสัน (Kevin Johnson) อยู่สองปี ในปีแรก คือฤดูกาล 1996-97 แนชทำเฉลี่ยเพียง 3.3 แต้ม และ 2.1 แอสซิสต์เนื่องจากได้เล่นน้อย แต่ด้วยความพยายามเขาได้ลงสนามมากขึ้นและทำเฉลี่ยเพิ่มเป็น 9.1 แต้ม 3.4 แอสซิสต์ แต่ปีนั้นก็เป็นปีสุดท้ายที่แนชจะเล่นให้ทีมซันส์ก่อนที่จะไปอยู่ทีมอื่นเป็นเวลาหกปี
ดัลลัส
แนชได้รู้จักและเป็นเพื่อนกับผู้ช่วยโค้ชทีมดัลลัส แมฟเวอริกส์ ดอนนี เนลสัน ตอนที่แนชอยู่ที่ซานตาคลารา และแนลสันทำงานให้กับทีมโกลเดนสเตท วอริเออร์ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน ต่อมาเนลสันรับงานใหม่กับทีมซันส์ เขาเป็นคนแนะให้ทีมเลือกแนช หลังจากเขาย้ายไปดัลลัส เนลสันก็ได้เสนอให้บิดาของเขา ดอน เนลสัน ซึ่งในขณะนั้นเป็นโค้ชและผู้จัดการทั่วไปของทีมแมฟเวอริกส์ดึงตัวแนชมา ในวันดราฟ มิถุนายน พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998) แนช ก็ถูกเทรดจากซันส์ไปแมฟเวอริกส์เพื่อแลกกับ Martin M??rsepp, บับบา เวลส์ (Bubba Wells), สิทธิ์ในการดราฟ แพท แกร์ริตี (Pat Garrity) และสิทธิ์การดราฟรอบแรกซึ่งซันส์ในการเลือก ชอน แมริออน (Shawn Marion)ปีแรกที่เล่นให้ดัลลัส เป็นฤดูกาลที่สั้นกว่าปกติเนื่องจากมีการประท้วงหยุดเล่น แนชไม่ได้ลงเล่น 10 เกมเพราะเจ็บหลัง และแฟนต่างโห่แนชตลอดทั้งฤดูกาลเพราะไม่พอใจการเทรดของทีม
ในฤดูกาล 1999-2000 ถึงแม้ว่าแนชจะพักไป 25 เกมจากการบาดเจ็บข้อเท้า เขากลับมาเล่นและทำดับเบิล-ดับเบิลหกครั้งในเดือนสุดท้ายของการเล่น และจบฤดูกาลทำเฉลี่ย 8.6 แต้ม 4.9 แอสซิสต์ สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือแนช และเพื่อนร่วมทีม เดิร์ก โนวิตสกี (Dirk Nowitzki) พัฒนาฝีมือไปสู่ระดับซูเปอร์สตาร์ ในขณะที่ผู้เล่นมากประสบการณ์ ไมเคิล ฟินลี (Michael Finley) ก็สร้างผลงานในระดับออลสตาร์ รวมถึงเจ้าของทีมคนใหม่ มาร์ก คิวบัน (Mark Cuban) ก็นำเอาพลังและความเร้าใจมาใส่ในทีม เหล่านี้เสริมให้แนชพัฒนาเกมการเล่นขึ้นมาก
ในฤดูกาล 2000-01 แนชทำเฉลี่ยถึง 15.3 คะแนน 7.3 แอสซิสต์ต่อเกม ได้ตำแหน่ง Comeback Player of the Year จากนิตยสาร Basketball Digest จากการนำเกมการบุกของแนช และการเล่นในระดับสูงของโนวิตสกี และ ฟินลี รวมทั้งผู้เล่นออลสตาร์ ฮวน ฮาวาร์ด ที่เข้าร่วมทีมมาเสริมการทำคะแนนของทั้งสาม แมฟเวอริกส์ได้เข้าเล่นในเพลย์ออฟเป็นครั้งแรกในรอบสิบปี ดัลลัสแพ้ในรอบที่สอง แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าเพลย์ออฟติดต่อกันหลายสมัยของแนชและแมฟเวอริกส์
ฤดูกาล 2001-02 แนชทำได้สูงสุดในอาชีพ ที่ 17.9 คะแนน 7.7 แอสซิสต์ และได้เข้าเล่นในเกมออสสตาร์ของเอ็นบีเอ และได้เลือกเป็น All-NBA Third Team ตอนนี้เขาเป็นออลสตาร์ เริ่มปรากฏในโฆษณาทางโทรทัศน์ และเป็นส่วนหนึ่งของ Big Three ร่วมกับฟินลี และ โนวิตสกี ทั้งสามยังปรากฏตัวร่วมกันในภาพยนตร์ Like Mike ดัลลัสได้เล่นเพลย์ออฟอีกครั้ง และตกรอบสอง แต่ทีมก็มีความหวังมากขึ้นในฤดูกาลต่อไป
แนชเกือบจะทำได้เหมือนฤดูกาลก่อนหน้านั้น ในปี 2002-03 เฉลี่ยได้ 17.7 แต้ม 7.3 แอสซิสต์ต่อเกม ได้เข้าเล่นในออลสตาร์และเลือกเป็น All-NBA Third Team อีกครั้ง แนชและโนวิตสกีเปิดฤดูกาลโดยการชนะติดต่อกัน 14 เกม ซึ่งนำไปสู่เพลย์ออฟรอบสุดท้ายของสายตะวันตก และแพ้ให้กับซานแอนโตนิโอ สเปอรส์ซึ่งคว้าแชมป์ในปีนั้น
แต่แนช และ Big Three ไปได้ไกลสุดเพียงแค่นี้ ฤดูกาล 2003-04 แนชทำคะแนนตกลงเหลือ 14.5 ต่อเกมและไม่ได้เล่นในออลสตาร์และไม่ติดทีม All-NBA แต่เปอร์เซนต์การชู้ตสูงขึ้นจากฤดูกาลที่แล้ว 46.5 ไปเป็น 47% แอสซิสต์เฉลี่ย 8.8 และเปอร์เซนต์การชู้ตลูกโทษ 91.6% ถือเป็นค่าสูงสุดตลอดอาชีพการเล่น อย่างไรก็ตาม ดัลลัสไม่สามารถผ่านเพลย์ออฟรอบแรกได้ เป็นผลงานที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่ฤดูกาล 1999-2000
และเมื่อสัญญาของแนชหมดอายุลง แนชพยายามเจรจาเซ็นสัญญาระยะยาวกับ มาร์ก คิวบัน แต่ก็ไม่สำเร็จ คิวบันไม่ต้องการสูญเสียแนชไป แต่ต้องการสร้างทีมของเขาจากโนวิตสกี และไม่อยากเสี่ยงเซ็นสัญญาระยะยาวกับแนชที่มีอายุมากแล้ว คิวบันจึงได้เสนอสัญญา 4 ปี มูลค่าประมาณ 9 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี และโอกาสสำหรับปีที่ 5 ถ้าเล่นดี คิวบันเขียนบันทึกไว้ว่าเป็นสัญญาที่ยุติธรรมและถ้าแนชได้ข้อเสนอที่ดีกว่า แนชก็ควรที่จะรับไว้และเขาก็จะยินดีด้วย แนชค้นหาข้อตกลงอื่นและสุดท้ายลงเอยกับฟีนิกส์ ซึ่งเขาก็ยังมีบ้านอยู่ ซันส์เสนอแนช ซึ่งขณะนั้นอายุ 30 ปีแล้ว ด้วยสัญญาระยะ 6 ปีรวมเป็นเงิน 63 ล้านเหรียญสหรัฐ แนชลังเลที่จะออกจากดัลลัสและถามคิวบันว่าจะเสนอสัญญาระดับเดียวกันหรือไม่ ซึ่งคิวบันลังเลและแนชก็เซ็นกับซันส์ในที่สุด
อยู่กับฟีนิกส์สมัยที่สอง
ฟีนิกส์ซันส์มีผู้เล่นอายุน้อยแต่อยู่ระดับซูเปอร์สตาร์สองคน คือ ฟอร์เวิร์ด ชอน แมริออน และฟอร์เวิร์ด-เซ็นเตอร์ อามาเร สเตาเดอไมร์ (Amare Stoudemire) ซึ่งได้รับรางวัลผู้เล่นหน้าใหม่ยอดเยี่ยมแห่งปี (Rookie of the Year) ของฤดูกาล 2002-03 ถึงแม้ว่าจะมีผู้เล่นที่มีพรสวรรค์และอายุไม่มาก แต่ทีมก็ทำสถิติชนะเพียง 29 เกมแพ้ 53 เกมในฤดูกาล 2003-04 ทีมแทบไม่เปลี่ยนแปลงนอกจากแนชและสวิงแมน เควนติน ริชาร์ดสัน (Quentin Richardson) นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าทีมจะได้ผลงานอยู่ระดับล่าง ๆ ของคอนเฟอเรนส์ตะวันตกหัวหน้าโค้ช ไมค์ แดนโทนี (Mike D'Antoni) ผู้เข้ามารับตำแหน่งกลางฤดูกาลที่ผ่านมา ปรับมาใช้แผนการเล่นแบบ รันแอนด์กัน (run and gun) ซึ่งเคยนิยมในสมัยคริสต์ทศวรรษ 1980 ใช้ผู้เล่นตัวเล็กและคล่องแคล่ว แดนโทนีให้แนชเล่นเกมบุกแบบฟาส์ตเบรก (fastbreak) พยายามวิ่งแซงผู้เล่นทีมรับฝ่ายตรงข้ามไปเข้าทำคะแนนที่ห่วง ทุกคนได้สิทธิ์ในการชู้ตลูกตลอดเวลา ผลลัพธ์ที่ได้คือทีมที่ทำคะแนนได้สูงสุดในทศวรรษ โดยทำได้เฉลี่ย 110.4 คะแนนต่อเกมในฤดูกาลปกติ การส่งลูกที่แม่นยำของแนช ไปยัง สเตาเดอไมร์ แมริออน ริชาร์ดสัน และ โจ จอห์นสัน (Joe Johnson) เพื่อยัดลงห่วงหรือที่เรียกว่า alley oop ปรากฏในทีวีเป็นเพลย์เด่น ๆ จำนวนมาก
ซันส์ทำสถิติชนะ 31 แพ้ 5 ก่อนที่แนชจะบาดเจ็บในเกมถัดไป ซันส์แพ้ติดต่อกันสามเกมที่แนชไม่ได้ลงเล่น หลังจากแนชกลับเข้าทีม ทีมก็ชนะ 4 ใน 5 เกม และ 8 ใน 9 เกมถัดไป ซันส์จบฤดูกาลด้วยสถิติที่ดีที่สุดของเอ็นบีเอ คือ ชนะ 62 แพ้ 20 ซึ่งชนะมากกว่าฤดูกาลก่อนถึง 33 เกม
แนช ในตำแหน่งพอยท์การ์ดตัวจริง เป็นคนที่นำทีมให้กลับมาเก่งอีกครั้ง แม้ว่าเขาทำคะแนนเฉลี่ยเพียง 15.5 แต้มต่อเกม แต่เปอร์เซนต์การชู้ตของเขาอยู่ที่ 50.2% ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดในอาชีพการเล่น และไม่ค่อยพบในตำแหน่งการ์ด สิ่งที่น่าประทับใจอีกอย่างคือแอสซิสต์เฉลี่ยที่ 11.5 ต่อเกม ซึ่งสูงสุดในอาชีพการเล่น และดีที่สุดในเอ็นบีเอฤดูกาลนั้น ในขณะที่ผู้เล่นอื่นทำได้ไม่เกิน 9 แนชยังทำดับเบิล-ดับเบิลรวมมากเป็นอันดับสาม รองจากเควิน การ์เน็ตและชอน แมริออน และทำทริปเปิล-ดับเบิลครั้งที่สองในอาชีพเมื่อ 30 มีนาคม โดยได้ 12 คะแนน 12 แอสซิสต์ และ 13 รีบาวด์ในเวลาเพียง 27 นาที แนชมีส่วนช่วยทีมมากที่สุดโดยการทำให้เพื่อนร่วมทีมเล่นดีขึ้น พวกเขาทำสถิติหลายอย่างดีที่สุดเท่าที่เคยเล่น ทั้งเพื่อนร่วมทีมและบุคคลภายนอกต่างยกความดีความชอบให้กับแนช ในปีนั้นแนชคว้ารางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าเมื่อจบฤดูกาลปกติโดยเฉือนเอาชนะแชคิล โอนีล ถือเป็นผู้เล่นชาวแคนาดาคนแรกที่ได้รางวัลนี้ และเป็นคนที่สามที่เกิดนอกสหรัฐอเมริกาที่ได้รางวัล (ต่อจาก ฮาคึม โอลาจูวอน และ ทิม ดังแคน)
ในเพลย์ออฟ ฟีนิกส์เอาชนะเมมฟิส กริซลีส์ในรอบแรกก่อนที่จะพบกับทีมเก่าของเขาในรอบที่สอง แนชนำทีมชนะดัลลัส แมฟเวอริกส์ 4 เกมต่อ 2 ในการเล่นรอบสุดท้ายของสายตะวันออก ซันส์แพ้ทีมซานแอนโตนิโอ สเปอรส์ ใน 5 เกม ถึงแม้ว่าจะแพ้แต่แนชและซันส์ก็ยินดีกับการพัฒนาการและแนวโน้มที่ดีในอนาคต
ฤดูกาล 2005-2006
ฤดูกาลนี้ซันส์ขาดผู้เล่นตำแหน่งเซ็นเตอร์ที่แท้จริง และ มีผู้เล่นที่ยังไม่ค่อยได้ลงเล่นหลายคน เนื่องจากการบาดเจ็บ โดยเฉพาะอามาเร สเตาเดอไมร์ ผู้เล่นคนสำคัญซึ่งทั้งฤดูกาลได้เล่นเพียง 3 เกม จึงไม่ได้คาดว่าซันส์จะประสบความสำเร็จเท่าฤดูกาลที่แล้ว แต่ด้วยการนำทีมของแนช และการเล่นที่โดดเด่นของแมริออน และ ดิออ ซันส์ยังเป็นทีมที่เก่งในเอ็นบีเอ ซันส์ยังทำคะแนนสูงสุดในเอ็นบีเอ เฉลี่ยเกิน 100 ต่อเกม แนชถูกเลือกให้เป็นตัวจริงในการแข่งออลสตาร์ ฤดูกาลนี้แนชร่วมกับแมริออนนำทีมซันส์ให้ชนะ 54 เกมเป็นแชมป์สายแปซิฟิก แนชยังได้รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าอีกครั้งเป็นสมัยที่สองติดต่อกัน และถือเป็นการ์ดคนที่สองที่ได้รับรางวัลนี้มากกว่าหนึ่งครั้ง (อีกคนคือ แมจิก จอห์นสัน) รอบเพลย์ออฟฤดูกาลนี้ ซันส์เข้าถึงรอบชิงคอนเฟอเรนซ์ตะวันตกเช่นเดียวกับฤดูกาลที่แล้วและแพ้ให้กับทีมดัลลัส แมฟเวอริกส์
การเล่นระหว่างประเทศ
แนชเป็นกัปตันทีมชาติแคนาดาในการแข่งกีฬาโอลิมปิกปี 2000 ที่ซิดนีย์ นักวิจารณ์กีฬาคาดว่าแคนาดาจะมีสิทธิ์ลุ้นเหรียญรางวัล เมื่อทีมสามารถผ่านเข้าสู่รอบก่อนรองสุดท้าย ทีมแพ้ฝรั่งเศสไป 5 คะแนนแต่เอาชนะรัสเซีย ได้อันดับ 7 ของทั้งหมดแนชนำทีมแคนาดาอีกครั้งในรอบคัดเลือกเพื่อแข่งในโอลิมปิกฤดูร้อนปี 2004 แนชผิดหวังที่ไม่สามารถพาทีมไปอยู่สามอันดับแรกได้ ทำให้พลาดโอกาสไปแข่งโอลิมปิกส์
นอกสนาม
แนชก่อตั้งมูลนิธิสตีฟ แนช เพื่อช่วยเหลือเด็กที่ด้อยโอกาส เขาได้ปฏิเสธงานโฆษณาหลายงานหลังจากที่คว้ารางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าและเลือกที่จะเดินทางเพื่อการกุศลในอเมริกากลาง แนชยังใช้เวลาเยี่ยมเด็กที่ป่วยตามโรงพยาบาลแนชยังแตกต่างจากผู้เล่นเอ็นบีเอคนอื่นตรงที่เขาสนใจด้านศิลปะและการเมือง เขาเลือกที่จะใส่เสื้อยืดที่เขียนข้อความว่า "No war -- Shoot for peace" เพื่อต่อต้านการที่สหรัฐโจมตีอิรักในเกมเอ็นบีเอ ออลสตาร์ ปี 2003 เขาอธิบายกับสื่อว่าสหรัฐไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าอิรักเป็นภัยคุกคามและควรปล่อยให้ผู้ตรวจสอบจากสหประชาชาติได้ทำหน้าที่จนเสร็จก่อน
เมื่อ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2547 แนชกับแฟนของเขา อะเลจานดรา อะแมริลลา (Alejandra Amarilla) ก็มีลูกสาวฝาแฝดชื่อ ลอลา (Lola) และ เบลลา (Bella) แนชและแฟนสาวแต่งงานกันในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2548