ประวัติ โจ มอนทาน่า

| 01/01/1970 07:00 น. | 1175 Views

ประวัติ
ชื่อจริง: โจเซฟ คลิฟฟอรด์ มอนทาน่า จูเนียร์
ชื่อในวงการ: โจ มอนทาน่า
ฉายา: Joe Cool, The Comeback Kid
เกิดวันที่: 11 มิถุนายน 1956 (2499)
อายุ: 51 ปี
สถานที่เกิด: นิว อีเกิ้ล, เพนน์ซิลเวเนีย, สหรัฐอเมริกา
ส่วนสูง: 6 ฟุต 2 นิ้ว (188 เซนติเมตร)
น้ำหนัก: 200 ปอนด์ (91 กิโลกรัม)
ตำแหน่ง: ควอเตอร์แบ็ค (QB)
ทีม: 1979-1992 ซานฟรานซิสโก โฟร์ตี้ไนนเนอร์ส (San Francisco 49ers)
1993-1994 แคนซัสซิตี้ ชีฟส์ (Kansas City Chiefs)

 

 

 

            โจ มอนทาน่า สุดยอดผู้เล่นระดับตำนาน ที่ได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในผู้เล่นตำแหน่งควอเตอร์แบ็คที่ดีที่สุดตลอดกาลของวงการอเมริกัน ฟุตบอล NFL และยังถือได้ว่าเป็นนักกีฬาอีกหนึ่งคนที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับนักกีฬารุ่นใหม่ๆในยุคปัจจุบัน
            โจ เป็นหนึ่งในสองของ ควอเตอร์แบ็ค ที่เคยเป็นแชมป์ซุปเปอร์โบลถึง สี่สมัย ในปี 1982, 1985, 1989 และปี 1990
            ในวัยเด็กเขาเองสนใจกีฬามากมายหลายประเภท อาทิ ฟุตบอล*(ในที่นี้จะหมายถึง อเมริกัน ฟุตบอล), บาสเก็ตบอล และเบสบอล แต่ที่เขารักที่สุดก็คือ ฟุตบอล เขาเริ่มฉายแววมาตั้งแต่สมัยมัธยม ด้วยใจที่รักกีฬาเป็นชีวิตจิตใจครั้งหนึ่งเขามีชื่อเข้ารับทุนจากมหาวิทยาลัยรัฐนอร์ทแคโรไลน่าในฐานะ นักบาสเก็ตบอล แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเขาเลือกทุนนักกีฬาของมหาวิทยาลัย นอร์ทเทรอ ดามม์ ในฐานะนักฟุตบอล และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่แท้จริงในการก้าวเข้าสู่วงการ ในตำแหน่ง ควอเตอร์แบ็ค อย่างแท้จริง

 

ซานฟรานซิสโก โฟร์ตี้ไนน์เนอร์ส 1979-1992
            หลังจากฝึกฝนอย่างหนัก และฟอร์มการเล่นที่ดีเยี่ยมกับทีมระดับวิทยาลัย ในปี 1979 โจ ได้ถูกดราฟท์ตัวในรอบที่สามโดยทีม ซานฟรานซิสโก โฟร์ตี้ไนนเนอร์ส ในฤดูกาลแรกนั้นเขายังไม่ได้รับความไว้วางใจให้ลงเล่นเท่าใดนัก เพราะมือหนึ่งของทีมในขณะนั้นคือ สตีฟ เดอเบอร์ก ควอเตอร์แบ็คพเนจรที่ถูก ดราฟท์ตัวเข้ามาก่อนเขาในปี 1977 แต่หลังจากจบฤดูกาลในปี 1980 สตีฟ ก็ต้องอำลาทีมไปเพราะฟอร์มอันร้อนแรงของ โจ นั่นเอง
            นัดที่ทำให้แฟนๆนักขุดทองรู้จัก และรักเขาก็คือนัดที่พบกับทีม นิวออร์ลีนส์ เซนต์ส ในปี 1980 โจ ได้โอกาสลงมาเล่นแทน สตีฟ เดอร์เบอร์ก ในครึ่งหลัง และสามารถช่วยให้ทีมกลับมาเฉือนชนะได้ด้วยคะแนน 38-35หลังจากในครึ่งแรก โฟร์ตี้ไนนเนอร์ส มีคะแนนตามหลัง เซนต์ส อยู่ถึง 28 คะแนน

 


            ในปี 1981 โจ นำทีมชนะ 13 แพ้ 3 ถือเป็นสถิติที่ดีที่สุดของ NFL ในขณะนั้น และยังเป็นปีของแมทช์แห่งความทรงจำตลอดกาลของประวัติศาสตร์วงการอเมริกัน ฟุตบอลอีกปีหนึ่ง เมื่อโฟร์ตี้ไนนเนอร์ส เล่นในเทิร์นที่ 11 โจ ขว้างลูกที่ระยะ 89 หลา ให้กับ ดไวจท์ คล้าก เจ้าของฉายา The Catch ทำทัชดาวน์พาทีมเฉือนชนะ ดัลลัส คาวบอย คู่ปรับตลอดกาลในการชิงแชมป์สาย NFC ด้วยคะแนนมหัศจรรย์ 28-27 ก่อนที่อีกสองสัปดาห์ต่อมา โจ จะนำทีมคว้าแชมป์ซุปเปอร์โบลครั้งที่ 16 ด้วยการเอาชนะทีม ซินซิเนติ เบงกอลส์ ด้วยคะแนน 26-21 และทำให้เขาได้รับรางวัล ผู้เล่นอันทรงคุณค่า (MVP) ด้วยสถิติการขว้างได้ 14 ครั้งจาก 22 ครั้ง ระยะรวม 157 หลา 1 ทัชดาวน์ จากการเล่นในวันนั้น นับเป็นรางวัลสูงสุดรางวัลแรกของเขาในการเล่นให้กับ ซานฟรานซิสโกฯ เป็นปีที่สาม
            เขายังคงเดินหน้าสร้างสถิติอีกมากมาย ในปี 1984 เขานำทีมชนะ 15 แพ้ 1 และสร้างสถิติทำคะแนนรวมของทีมรุกถึง 475 คะแนน เขายังไม่หยุดเพียงเท่านั้นเพราะทั้งฤดูกาลเขาขว้างลูกทำทัชดาวน์ได้ถึง 28 ครั้งและโดนอินเทอร์เซปเพียงแค่ 10 ครั้งเท่านั้น เป็นปีที่ร้อนแรงมากสำหรับเขา ในปีเดียวกันนี้เองเขาก็สามารถพาทีมคว้าแชมป์ซุปเปอร์โบลครั้งที่ 19 ได้อีกครั้งด้วยสถิติการขว้างได้ 24 ครั้งจาก 35 ครั้งระยะรวม 331 หลา 3 ทัชดาวน์ คว่ำทีมดังอย่าง ไมอามี่ ดอลล์ฟินส์ โดยการนำทีมของ แดน มารีโน่ ด้วยคะแนนถล่มทลาย 36-16 ในวันนั้น โจ ยังวิ่งเข้าเอนด์โซนจากระยะ 59 หลาทำทัชดาวน์ นับเป็นสถิติการวิ่งเข้าทำทัชดาวน์ที่ไกลที่สุดของ ควอเตอร์แบ็ค ในเกมส์ซุปเปอร์โบว์ขณะนั้น

 


            1986 เขาต้องทำการผ่าตัดเนื่องจากอาการเจ็บหลัง และกลับมาลงสนามได้อีกครั้งในอีก 7 เกมส์สุดท้ายของทีมและช่วยพาทีมเข้าไปเล่นในรอบเพลย์ออฟได้อีกครั้ง แต่ปีแห่งความโชคร้ายของเขายังไม่จบเท่านั้นในเกมส์รอบเพลย์ออฟที่พบกับ นิวยอร์ค ไจแอนท์ ระหว่างควอเตอร์ที่ 2 โจ ถูกแท็คโดย จิม เบอร์ท ทำให้เขาบาดเจ็บจนไม่สามารถกลับลงมาเล่นอีกได้ทำให้เกมส์วันนั้น ซานฟรานซิสโกฯ แพ้ไปอย่างถล่มทลายด้วยคะแนน 49-3 ส่งผลให้เขาไม่สามารถลงช่วยทีมในเกมส์ที่เหลือได้
            1987 โจ หายจากอาการบาดเจ็บ และทำสถิติขว้างได้ 3,054 หลา 31 ทัชดาวน์ 13 อินเทอร์เซป ทำให้ โฟร์ตี้ไนน์เนอร์ส มีสถิติชนะ 13 แพ้ 2 แต่อย่างไรก็ดีทีมก็ไม่สามารถผ่านทีม มินเนโซต้า ไวกิ้งส์ ในรอบ เพลย์ออฟได้เนื่องจาก โจ ถูกเข้าชาร์จ และบาดเจ็บอย่างรุนแรงทำให้ทีมต้องหันมาใช้บริการของ สตีฟ ยัง ในเกมส์ครึ่งหลัง และพ่ายไปในที่สุด

 


            1988 เขาเองยังไม่สามารถกลับมาลงเล่นให้กับทีมในช่วงต้นฤดูกาล อันเนื่องมาจากสาเหตุปัญหาการบาดเจ็บเรื้อรัง ในขณะที่ สตีฟ ยัง พาทีมออกสตาร์ทได้ไม่ดีนักด้วยสถิติ ชนะ 6 แพ้ 5 ซึ่งอาจจะทำให้ โฟร์ตี้ไนน์เนอร์ส ไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นรอบเพลย์ออฟได้ โจ กลับมาและนำทีม ชนะ 10 แพ้ 6 ได้เล่นรอบเพลย์ออฟกับคู่ปรับเมื่อปีที่แล้ว ทีมมินเนโซต้า ไวกิ้งส์ เป็นนัดล้างตาที่สะใจกองเชียร์เป็นอย่างมากเมื่อ โฟร์ตี้ไนน์เนอร์ส ถล่มคู่ปรับไปอย่างขาดลอย 34-9 ลอยลำเข้าไปชิงแชมป์สายกับทีม ชิคาโก้ แบรส์ ทีมที่ขณะนั้นเป็นทีมที่ถูกวางให้เป็นแชมป์ซูปเปอร์โบล โจ สร้างความประหลาดใจให้กับผู้ชมทั่วโลกด้วยการนำทีมเอาชนะทีมเต็งไปด้วยคะแนน 28-3 และในการชิงแชมป์ซูปเปอร์โบลครั้งที่ 23 โจ สามารถโชว์ผลงานได้อย่างสุดประทับใจ และสร้างสถิติในซูปเปอร์โบลด้วยการขว้างได้ 23 ครั้งจากการขว้าง 36 ครั้งทำระยะรวม 357 หลา 2 ทัชดาวน์ ทำให้ทีมคว้าแชมป์ด้วยการเฉือนทีม ซินซิเนติ เบงกอล ไปด้วยคะแนน 16-13 ก่อนหมดเวลาในควอเตอร์สุดท้ายเพียงแค่ 34 วินาที
            1989 เป็นปีทองอีกหนึ่งปีในการเล่นกับ ทีมนักขุดทอง ในปีนี้เขานำทีมสร้างสถิติของ NFL อีกครั้งด้วยสถิติการชนะ 14 ครั้งแพ้เพียงแค่ 2 ครั้งและในนัดที่แพ้ก็แพ้ไม่เกิน 5 คะแนนทั้งสองครั้ง โจ ขว้างระยะรวม 3,521 หลา 26 ทัชดาวน์ 8 อินเทอร์เซป เป็นสถิติของควอเตอร์แบ็คที่ดีที่สุด ในปีนี้น่าจะเป็นปีที่ดีที่สุดในชีวิตของเขา จากนั้นเขาก็นำทีมเข้าชิงซูปเปอร์โบลอีกครั้ง และในซูปเปอร์โบลครั้งที่ 24 โจ ก็เป็นผู้เล่นคนแรกที่รับรางวัลผู้เล่นอันทรงคุณค่าในเกมส์ซูปเปอร์โบล เป็นครั้งที่สามหลังจากทำระยะรวมในการขว้างได้ 297 หลาและทำสถิติซูปเปอร์โบลอีกครั้งด้วยการทำ 5 ทัชดาวน์ ถล่ม เดนเวอร์ส บรองโก้ ไปด้วยสถิติคะแนนที่ห่างที่สุดของประวัติศาสตร์ซูปเปอร์โบล 55-10

 


            1990 เป็นอีกครั้งที่เขาสร้างสถิติการเล่นให้ทีมอีกด้วยการชนะ 14 แพ้ 2 และรับรางวัลนักกีฬายอดเยี่ยมแห่งปีจาก สปอร์ตอิลลาสเตรท แต่โฟร์ตี้ไนน์เนอร์ส ก็ไปไม่ถึงซูปเปอร์โบล
            1991 เหมือนเป็นบทส่งท้ายกับ โฟร์ตี้ไนน์เนอร์ส เมื่อเขาบาดเจ็บรุนแรงอีกครั้งที่ข้อศอกทำให้ไม่สามารถลงเล่นได้จนถึงปี 1992 ทำให้เขาเสียตำแหน่งหลักในทีมให้กับ สตีฟ ยัง ผู้เล่นสำรองที่พร้อมแล้วสำหรับการก้าวขึ้นมาแทนรุ่นพี่อย่าง โจ มอนทาน่า

 

 

 

แคนซัสซิตี้ ชีฟส์ 1993-1994
            หลังจากที่เขาหายจากการบาดเจ็บในช่วงท้ายของฤดูกาลปี 1992 เขาก็พบว่าไม่มีตำแหน่งตัวจริงให้เขาในทีมอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นในปี 1993 เขาจึงถูกเทรด์ไปอยู่กับ แคนซัสซิตื้ ชีฟส์ และสามารถพาทีมใหม่ของเขาเข้าไปเล่นในรอบเพลย์ออฟ แต่สุดท้าย ชีฟส์ ก็พลาดท่าแพ้ให้กับ บัฟฟาโล่ บิลล์ส ในการชิงแชมป์สาย จากนั้นเป็นต้นมา ชีฟส์ ก็ยังไม่สามารถเข้าถึงรอบเพลย์ออฟได้อีกเลย เขาได้เล่นใน โปรโบล เป็นครั้งสุดท้ายในปี 1993
1994 มีเกมส์แห่งความทรงจำอีกหนึ่งนัดเมื่อ โจ พา ชีฟส์ เข้าตัดเชือกกับทีมเก่าของเขาอย่าง โฟร์ตี้ไนน์เนอร์ส ที่ในขณะนั้นซึ่งนำทีมโดย สตีฟ ยัง โจ ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเขายังมีความสามารถพอ และนำทีมใหม่เอาชนะทีมเก่าของเขามาได้ด้วยคะแนน 24-17 แต่ปีนั้น ดัลลัส คาวบอย คว้าแชมป์ซูปเปอร์โบล หลังจากจบฤดูกาลนี้เอง โจ ก็ประกาศอำลาวงการอเมริกันฟุตบอลไปด้วยวัย 38 ปีปิดตำนาน ควอเตอร์แบ็คยอดเยี่ยมตลอดกาลของวงการ NFL

 

 

    

ADS