ประวัติ เวย์น รูนี่ย์

| 01/01/1970 07:00 น. | 6038 Views

 

 

นอกสนามตะบันแหลก! รูน ยิ้มแป้น คอลลีน ตั้งท้องคนที่ 3 แล้ว

     นอกสนามตะบันแหลก! "รูน" ยิ้มแป้น "คอลลีน" ตั้งท้องที่ 3 แล้ว

      เวย์น รูนี่ย์ ดาวยิงกัปตันทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โพสต์ทวิตเตอร์ประกาศให้โลกรู้ว่า ตน กำลังจะมีบุตรคนที่ 3 หลังจากที่ คอลลีน รูนี่ย์ ภรรยาสุดที่รักของเขาได้ตั้งท้องเป็นที่เรียบร้อยเเล้ว

      ดาวเตะวัย 29 และคู่รักของเขากลั้นความปิติยินดี้ไว้ไม่ไหวด้วยการโพสต์ ทวิตเตอร์พร้อมๆกันเลยทีเดียว

      โดย รูนี่ย์ โพสต์ว่า "เรื่องยอดเยี่ยมสำหรับผม และ คอลีน เรากำลังจะมีลูกคนที่ 3 แล้วนะ"

      ส่วน คอลีน โพสต์ว่า "เรากำลังจะมีลูกคนที่ 3 ในเดือนมกราคมนี้ นั่นทำให้เรามีความสุขและตื่นเต้นมากๆเลยล่ะ"

      ก่อนหน้านี้ทั้งคู่มีพยานรักร่วมกันเเล้ว 2 คน คนแรกคือ ไค รูนี่ย์ ที่ปัจจุบันอายุ 5 ปี ส่วนคนที่ 2 ชื่อว่า เคลย์ แอนโธนี่ อายุ 2 ปี

      โดยกำหนดวันคลอดของพยานรักคนที่ 3 ของพวกเขาคือวันที่ 3 มกราคม ปี 2016

                                เวย์น รูนี่ย์ นักฟุตบอล แมนยู

ชื่อ : เวย์น รูนี่ย์

 
เชื้อชาติ : อังกฤษ
 
วันเกิด : 24 ต.ค. 1985
 
อายุ : 28 ปี
 
สถานที่เกิด : ลิเวอร์พูล ,อังกฤษ
 
ส่วนสูง : 176 ซม.
 
ต้นสังกัด : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ตำแหน่ง : กองหน้า

 

                   ถ้าจะเอ่ยถึงความหวังสูงสุดของชาวอังกฤษในเวลานี้ คงจะหนีไม่พ้นเวย์น รูนี่ย์ กองหน้าเจ้าของร่างอวบอั๋นที่หลายคนแซวว่า "หมู" แต่ฝีเท้าจริงๆ ไม่ใช่หมูธรรมดาแล้ว รูนี่ย์ ยังดุดันไม่ต่างจาก "หมูป่า" อีกด้วย!

                   เวย์น มาร์ค รูนี่ย์ 1 ใน 3 ลูกชายของบ้านรูนี่ย์  เป็นนักเตะที่มีความมหัศจรรย์มากที่สุดของวงการฟุตบอลอังกฤษในยุคนี้ เหนือยิ่งกว่าไมเคิล โอเว่น กองหน้ามหัศจรรย์ของทีมลิเวอร์พูลเสียอีก และที่ตลกร้ายไปกว่านั้นคือทั้งคู่แจ้งเกิดในสโมสรร่วมเมืองเดียวกัน แต่เป็นคนละสี

                  โอเว่น คือขวัญใจสีแดงของลิเวอร์พูล ขณะที่รูนี่ย์ คือความภาคภูมิใจของชาวเอฟเวอร์โตเนี่ยนสีน้ำเงิน

                   รูนี่ย์ มีบ้านเกิดอยู่ในย่านคร็อกซ์เทธ และได้รับแรงบันดาลใจในการฝากตัวเป็นสาวกท๊อฟฟี่เม็นจากครอบครัว และยังคงมีใจให้กับเอฟเวอร์ตันเสมอ โดยภาพที่ประทับใจผู้คนคือการสวมเสื้อยืดที่พิมพ์ลายสกรีนว่า "Once a blue, Always a blue"

                  แน่นอนว่าด้วยความรักที่มีต่อเอฟเวอร์ตัน ทำให้เจ้าหนูรูน มีความปรารถนาที่จะสวมเสื้อสีน้ำเงินเข้มลงเล่นในสนามกูดิสัน ปาร์ค ต่อหน้าชาวเอฟเวอร์โตเนี่ยนทั้งผอง และฝันนั้นของรูนี่ย์ ก็เริ่มมีเค้าลางของความจริงเมื่อเขาได้รับการเซ็นสัญญาเป็นผู้เล่นในทีมเยาวชนในวันเกิดอายุครบรอบ 11 ปี อันเป็นผลพวงมาจากผลงานที่โดดเด่นสุดๆในสมัยเป็นนักเรียนโรงเรียน ลิเวอร์พูล สคูลบอยส์ และทีมเยาวชนเดอะ ไดนาโม บราวนิ่งส์

                 หลังจากนั้นรูนี่ย์ ก็ใช้เวลาขัดเกลาตัวเองอยู่ในรั้วหัวใจของชาวกูดิสัน ปาร์ค และรอเวลาที่จะเปล่งประกายเป็นดาวจรัสแสงดวงใหม่ของวงการฟุตบอลอังกฤษ


เวย์น รูนี่ย์ นักฟุตบอล แมนยู


                 ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเทพนิยาย และความสำเร็จก็อาจมาโดยไม่ทันตั้งตัวก็เป็นได้ ซึ่งเรื่องราวบทแรกในการเป็นนักฟุตบอลอาชีพของเขาก็ต้องถูกจารึกไว้ เมื่อกลายเป็นผู้ทำประตูที่อายุน้อยที่สุดในพรีเมียร์ลีกได้ด้วยวัยเพียง 16 ปีกับอีก 360 วัน (ก่อนที่จะโดนแซงหน้าไปอีก 2 ครั้ง) ในวันที่ 19 ต.ค. 2002

                 แต่ที่เหนือไปกว่านั้นคือประตูแรกของรูนี่ย์ มีความหมายอย่างยิ่งเพราะเป็นประตูในช่วงนาทีสุดท้ายที่ช่วยให้เอฟเวอร์ตัน เอาชนะอาร์เซนอล ที่ไม่เคยแพ้ใครมา 30 เกมได้สำเร็จ และยังเป็นประตูสุดสวยด้วยการปั่นไซด์โค้งระยะกว่า 30 หลาเข้าสามเหลี่ยมมุมบนแบบสุดอัศจรรย์อีกด้วย

                 นับตั้งแต่นั้นมา รูนี่ย์ ก็ถูกจับตามองจากสื่อมวลชนในอังกฤษ และได้รับการยกย่องให้เป็นวันเดอร์คิดคนใหม่ของวงการฟุตบอล และได้รับรางวัลนักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำปี 2002 ด้วยเมื่อจบฤดูกาลแรก

                  แต่ชีวิตของรูนี่ย์ ก็ประสบปัญหาในฤดูกาลต่อมา เมื่อเอฟเวอร์ตัน มีผลงานตกต่ำลงอย่างน่ากลัว ขณะที่รูนี่ย์ เองก็มีปัญหาอาการบาดเจ็บและฟอร์มการเล่นที่ดร็อปลงไปมาก รวมทั้งยังเริ่มมีพฤติกรรมในทางที่ไม่เหมาะสมเช่นการไปเที่ยวสถานเริงรมย์และมีรสนิยมชอบสาวที่มากประสบการณ์เป็นต้น

                 อย่างไรก็ดี คนเมื่อถูกฟ้าลิขิตมาให้เป็นดาวประดับฟ้า อะไรจะมาหยุดนักเตะที่มีพรสวรรค์สูงอย่างรูนี่ย์ได้

เวย์น รูนี่ย์ นักฟุตบอล แมนยู


                 รูนี่ย์ กลับมาแจ้งเกิดได้อย่างยิ่งใหญ่แบบเต็มตัวในช่วงศึกยูโร 2004 โดยได้ถูกเรียกตัวจากสเวน โกรัน เอริคส์สัน ให้เข้ามาติดทีมชาติ โดยมีไมเคิล โอเว่น สตาร์รุ่นพี่เป็นคู่หู ซึ่งก่อนหน้านั้นรูนี่ย์ เคยถูกเรียกตัวติดทีมชาติมาเป็นเวลาปีเศษแล้ว โดยเกมแรกที่ได้ลงเล่นในสีเสื้อสิงโตคำรามคือเกมอุ่นเครื่องกับทีมชาติออสเตรเลีย ในวันที่ 12 ก.พ. 2003 และเป็นอีกครั้งที่ทำสถิติเป็นผู้เล่นทีมชาติอังกฤษที่อายุน้อยที่สุด (ก่อนจะโดนธีโอ วัลค็อตต์ วันเดอร์คิดคนต่อมาทำลาย)

                 ในยูโร 2004 ที่โปรตุเกส รูนี่ย์ สามารถผลิตผลงานระดับเทวดาเรียกพี่ได้ และเป็นแกนนำคนสำคัญในทีมไปอย่างไม่น่าเชื่อ กลบรัศมีของดาวเด่นอย่างโอเว่นลงสนิท ด้วยสไตล์การเล่นที่ดุดัน กล้าหาญ และเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ในการเล่น

                 รูนี่ย์ ยังเป็นเจ้าของสถิติผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่ทำประตูได้ในศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปด้วยเมื่อทำได้ 2 ประตูในเกมกับสวิตเซอร์แลนด์ แต่ก็ถูกโยฮัน ฟอนลันเธน กองหน้าทีมชาติสวิสแก้ตัวคืนได้ในอีก 4 วันถัดมา

                 ฟอร์มการเล่นอันโดดเด่นของรูนี่ย์ ทำให้ทีมชาติอังกฤษมีความหวังที่จะประสบความสำเร็จในเวทีระดับชาติอีกครั้ง แต่พวกเขาก็ต้องฝันสลายเมื่อรูนี่ย์ เกิดได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงในเกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายกับโปรตุเกส จนต้องเปลี่ยนตัวออกจากสนาม ก่อนที่ทีมสิงโตคำรามจะตกรอบด้วยการพ่ายจุดโทษ

                  อาการบาดเจ็บของรูนี่ย์ มีการเปิดเผยว่าเป็นอาการกระดูกเท้าแตก และต้องพักรักษาตัวอีกหลายเดือน แต่มันก็กลายเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับทีมต่างๆที่จะตามล่าเจ้าหนูมหัศจรรย์คนนี้ไปร่วมทีม ขณะที่เอฟเวอร์ตัน ต้นสังกัดพยายามสุดชีวิตเพื่อจะปกป้องสมบัติล้ำค่าของแฟนบอลเอาไว้ให้ได้


เวย์น รูนี่ย์ นักฟุตบอล แมนยู


                  แต่ถึงจะรักเอฟเวอร์ตันแค่ไหน รูนี่ย์ ก็ไม่สามารถปฏิเสธโอกาสที่จะได้เติบโตก้าวหน้าไปอีกหลายก้าวกับทีม "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้ ซึ่งแม้ว่าเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จะต้องยอมเสี่ยงซื้อนักเตะที่ยังบาดเจ็บอยู่มาด้วยค่าตัวถึงกว่า 27 ล้านปอนด์ แต่รูนี่ย์ ก็ได้ตอบแทนความไว้วางใจด้วยผลงานเหนือเมฆในเกมแรกที่ลงสนามด้วยการยิงแฮตทริกทันทีในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

                  กระนั้นฟอร์มการเล่นของเขาก็ยังไม่ค่อยมีความสม่ำเสมอมากนัก เนื่องจากแมนฯ ยูไนเต็ด เองก็มีปัญหาความไม่ลงตัวโดยเฉพาะรุด ฟาน นิสเตลรอย กองหน้าตัวเป้าที่มีปัญหาคาใจกับทางคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ปีกดาวรุ่งของทีมจนเป็นชนวนบาดหมางและลงเอยที่กองหน้าชาวฮอลแลนด์ ที่เป็นดาวซัลโวประจำทีมต้องย้ายออกไปในช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา


เวย์น รูนี่ย์ นักฟุตบอล แมนยู


                  สำหรับฟุตบอลโลก 2006 นั้นเป็นอีกครั้งที่รูนี่ย์ ต้องผิดหวังด้วยฟอร์มการเล่นที่ย่ำแย่ เนื่องจากก่อนหน้าจะเริ่มฟุตบอลโลกที่เยอรมันไม่ถึง 2 เดือน เกิดได้รับบาดเจ็บกระดูกเท้าแตกที่เดิมและต้องเร่งรักษาตัวท่ามกลางการเอาใจช่วยของแฟนบอลชาวผู้ดี

 

                  แต่เขาต้องฝืนลงช่วยทีมทั้งๆที่มีอาการบาดเจ็บ และในรอบ 8 ทีมสุดท้ายกับโปรตุเกส เขาโดนใบแดงไล่ออกจากสนามในจังหวะที่เขาเข้าแย่งบอลกับ ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่ และต่อมาทีมก็ตกรอบด้วยการแพ้ลูกโทษ     

                  แฟนบอลและสื่อของอังกฤษต่างจับจ้องมาที่ คริสเตียโน โรนัลโด เพื่อนร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดของเขา ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นคนฟ้องกรรมการทำให้รูนี่ย์โดนใบแดง ทำให้สื่อให้ข่าวว่าเวย์น รูนีย์ตั้งตนเป็นศัตรูกับโรนัลโด้ซึ่งอาจส่งผลให้โรนัลโด้ย้ายทีม

 

                  แต่อย่างไรก็ดี รูนี่ย์ได้สยบข่าวลือนั้น ในฤดูกาล 2006 โรนัลโด้ได้เล่นให้กับแมนฯ ยูไนเต็ดต่อไปและทั้งคู่ก็เล่นกันได้อย่างลงตัวจนทำให้เขาสามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกในชีวิตค้าแข้งได้สำเร็จ


เวย์น รูนี่ย์ นักฟุตบอล แมนยู


                  ฤดูกาล 2009/2010 เวย์น รูนี่ย์ ได้ถูกจับตามองเป็นพิเศษด้วยเหตุที่ว่าการจากไปของ คริสเตียโน โรนัลโด ดาวยิงประจำทีมที่ย้ายไปซบ ราชันย์ชุดขาว เรอัล มาดริด ยักษ์ใหญ่แห่งสเปน

 

                  แฟนบอลต่างพากันตั้งความหวังกับเขาในฐานะดาวยิงคนใหม่ของทีมแทนที่โรนัลโด เพราะเขาคือความหวังเดียวในตำแหน่งศูนย์หน้าในขณะนั้น ซึ่งรูนีย์ก็ไม่ทำให้แฟนๆผิดหวังโดยเขายิงประตูในพรีเมียร์ลีกไปได้ 26 ประตูมากที่สุดเท่าที่เขาเคยค้าแข้งมา ทำให้แฟนผีแดงลืมโรนัลโดไปสนิด

                  หลังจากจบฤดูกาล 2009/10 กลางปี 2010 ก็เป็นช่วงของฟุตบอลโลก 2010 เวย์น รูนี่ย์ ก็ได้ติดทีมไปเล่นกับอังกฤษ ที่แอฟริกาใต้ซึ่งเขาทำผลงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร เขาไม่สามารถทำประตูได้เลยและที่ชาติอังกฤษก็กระเด็นตกรอบ 16 ทีม ด้วยฝีมือของทีมชาติเยอรมัน และ รูนีย์ ก็ยังมีข่าวว่าเขาจะไม่ต่อสัญญากับทีมซึ่งสัญญาจะหมดลงในปี 2011

 

                  และเขาหวังจะย้ายทีมไป เรอัล มาดริด ตามรอย โรนัลโด อดีตคู่หูในแดงหน้าของผีแดง เหตุการณ์วุ่นวายนี้ยืดเยื้ออยู่พักใหญ่จนมาถือประมาณเดือนตุลาคมของปี2010 เวย์น รูนี่ย์ ก็ตัดสินใจต่อสัญญาออกไปเป็นเวลา 5 ปีจนได้ และตัวเขาก็ออกมาขอโทษเพื่อนรวมทีมและแฟนบอลกับเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้น

                 ในฤดูกาล 2011/2012 เวย์น รูนี่ย์ ได้สร้างสถิติให้กับตัวเขาเอง ด้วยการยิงประตูในลีกของเขาเองทั้งหมด 27 ประตู มากกว่าสถิติที่เขาเคยทำได้เมื่อฤดูกาล 2009/10 1 ลูก และเขาทำประตูรวมทุกถ้วยในฤดูกาลนั้นได้ถึง 34 ลูก จากการลงเล่น 44 เกม

 

                 ถึงแม้ว่าเขาจะถูก เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน นายใหญ่ในตอนนั้นจะชอบจับเขาไปเล่นในตำแหน่งที่ไม่ใช่กองหน้าตัวเป้าอยู่บ่อยครั้ง แต่เขาก็ยังทำประตูได้เยอะพอสมควร

                 ฤดูกาล 2012/2013 การเข้ามาขอดาวซัลโวประจำพรีเมียร์ลีกอย่าง โรบิน ฟาน เพอร์ซี ทำให้ รูนี่ย์ ต้องลดบทบาทในการทำประตูลงไป ทำให้ฤดูกาลนั้นเขายิงได้เพียง 12 ลูกเท่านั้น แต่ถึงอย่างไร แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ได้แชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นสมัยที่ 20 อยู่ดี


เวย์น รูนี่ย์ นักฟุตบอล แมนยู


                 ช่วงก่อนจะเปิดฤดูกาล 2013/2014 รูนี่ย์ ก็มีปัญหากับทีมอีกครั้งดังเช่นปี 2010 เมื่อเขาอยากจะเก็บข้าวของออกไปจากถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด เพื่อไปซบตัก เชลซี คู่แข่งร่วมลีก หลายคนจับจ้องไปที่เดวิด มอยส์ นายใหญ่คนใหม่ที่มาแทนที่การลาออกของ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

 

                 เพราะ 2 คนนี้เคยทะเลาะกับตั้งแต่สมัยอยู่เอฟเวอร์ตัน แต่สุดท้ายแล้ว รูนี่ย์ ก็เปลี่ยนใจไม่ย้ายไปไหนเหมือนเดิม และมอยส์ก็ยังคงให้เขาเป็นตัวหลักของทีม


เวย์น รูนี่ย์ นักฟุตบอล แมนยู


                 พอเริ่มฤดูกาล 2013/14 ในเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก กับ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น เวย์น รูนี่ย์ สามารถช่วยทีมทำประตูถึง 2 ลูก และชนะทีมจากเยอรมันไปด้วยสกอร์ 4-2 ทำให้ รูนี่ย์ สร้างประวัติศาสตร์ให้กับตัวเขาเองโดยเขาสามารถทำประตูให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ครบ 200 ประตู ตามหลังดาวยิงตลอดกาลอย่าง เซอร์บ็อบบี้ ชาร์ลตัน เพียงแค่ 49 ลูกเท่านั้น

 

                 และด้วยอายุเพียงแค่ 28 ปี ทำให้เขามีโอกาสสูงทีเดียวที่จะทำลายสถิติดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของสโมสร และในปัจจุบันเขาทำเพิ่มได้อีก 2 ประตู จากเกมที่พ่าย แมนฯ ซิตี้ 1-4 และ แพ้ เวสต์บรอมวิช 1-2 รวมไปถึงการทำลายสถิติของ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ในการทำประตูให้ทีมชาติอังกฤษที่มีสถิติอยู่ที่ 49 ลูก โดยรูนี่ย์ทำได้ไปแล้ว 36 ลูก

เวย์น รูนี่ย์ นักฟุตบอล แมนยู


                  ก่อนหน้านี้มีหลายคนมองว่า เวย์น รูนี่ย์ เป็นกองหน้าที่ทำประตูได้น้อยในแต่ละฤดูกาล ทำให้เกิดข้อครหาว่าเขาเป็นยอดศูนย์หน้าของโลกจริงหรือไม่ แต่ในวันนี้เวลานี้เขาก็สามารถพิสูจน์ตัวเองให้คนทั้งโลกได้เห็นว่าเขาคือกองหน้าระดับโลกอย่างแท้จริง หลังจากที่ทำสถิติยิง 202 ประตูให้กับแมนฯ ยูไนเต็ด ด้วยการลงเล่น 410 เกม

 

                  ถึงตอนนี้คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธได้ว่าเขาไม่ใช่ศูนย์หน้าระดับโลกอีกต่อไปและหลังจากนี้เราทุกคนต้องเฝ้าติดตามว่าเมื่อไหร่ที่เขาจะสามารถทำลายสถิติของ เซอร์บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ได้ทั้งในสโมสรและทีมชาติ แต่เชื่อว่าอีกไม่นานเกินรอแน่นอน
  

ADS