ประวัติ วิลเฟรด ซาฮา
ซาฮา หวิดฟาดปาก มอร์ริสัน ในเกมกับสิงโตน้อย
ราเวล มอร์ริสัน อดีตเด็กผีที่ตอนนี้ค้าแข้งอยู่กับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด หวิดมีเรื่องกับวิลเฟรด ซาฮา เพื่อนร่วมทีมชาติอังกฤษชุดอายุต่ำกว่า 21 ปีในเกมที่เอาชนะลิธัวเนีย 5-0 เมื่อคืนนี้
มอร์ริสัน เปิดสกอร์แรกให้กับอังกฤษในนาทีที่ 2 และเขาสามารถทำประตูที่ 2 ได้จากการเลี้ยงหลบกองหลังแล้วหลุดเข้าไปยิงในนาทีที่ 71
ต่อมาในนาทีที่ 76 ไซโด เบราฮิโน่ ยิงลูกโทษที่จุดโทษเข้าไปเป็นประตูที่ 2 ของเขาซึ่งก่อนหน้านี้เขายิงลูกแรกได้ในนาทีที่ 63 แต่ปรากฏว่ามอร์ริสันแสดงอาการไม่พอใจที่ไม่ได้รับโอกาสสังหารจุดโทษเพราะถ้าเขาเป็นคนยิงก็จะทำให้เตัวเขาสามารถทำแฮตทริกได้
ในจังหวะต่อมาหลังจากที่อังกฤษได้ฟรีคิกและจอห์น สโตน โขกออกหลังไป วิลเฟรด ซาฮา ปีกจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดก็เข้าไปบอกอะไรกับมอร์ริสันสักอย่างทำให้ทั้งคู่เริ่มมีปากมีเสียงและผลักกันยังดีที่นาธาน เร้ดมอนด์ รีบเข้าไปห้ามเพื่อนร่วมทีมทั้งสองคนได้ทันเวลา
ส่วนอีก 1 ประตูเป็นเจมส์ วอร์ด-พราวส์ นักเตะจากเซาแธมป์ตันทำได้ในนาทีที่ 63 ด้านแกเร็ธ เซาธ์เกต นายใหญ่สิงโต จูเนียร์ รู้สึกพอใจกับฟอร์มของลูกทีมที่ยังคงรั้งจ่าฝูงในศีกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2015 รุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี รอบคัดเลือก กลุ่ม 1 โดยตอนนี้แข่งไป 4 นัดเก็บได้ 10 คะแนน
หลังเกมมอร์ริสันก็ไม่ได้พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่กลับมุ่งเน้นพูดถึงเรื่องการทำประตูที่เหลือเชื่อของเขา
โดยเขากล่าวว่า "ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าลูกนั้นเกิดอะไรขึ้น"
"ผมคิดว่าผมต้องทำอย่างไรก็ได้ที่จะฝ่ากองหลังทั้งหมดไปให้ได้เพราะมันมีเพียงตัวเลือกเดียวในการที่จะสามารถทำประตู"
ชื่อ : วิลเฟรด ซาฮา
เชื้อชาติ : อังกฤษ
วันเกิด : 10 พฤศจิกายน 1992
อายุ : 20 ปี
สถานที่เกิด : อาบีจาน ,ไอวอรี่ โคสต์
ส่วนสูง : 180 ซม.
ต้นสังกัด : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ตำแหน่ง : กองหน้า , ปีก ซ้าย/ขวา
ถ้าหากพูดถึงนักเตะดาวรุ่งของประเทศอังกฤษหลายคนคงจะจำแทบไม่ได้ว่าคนสุดท้ายที่ก้าวขึ้นไปเป็นนักเตะระดับโลกเป็นใคร แต่ในวันนี้วงการฟุตบอลอังกฤษต้องจับตามองนักเตะจากค่ายปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ชื่อว่า "วิลเฟรด ซาฮา"
ดาเซ็ท วิลเฟรด อาร์แมล ซาฮา เกิดเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน ค.ศ. 1992 ที่ อาบีจาน ,ไอวอรี่ โคสต์ แต่ครอบครัวของเขาได้อพยพไปตั้งรากฐานที่ ลอนดอน ,อังกฤษ ตั้งแต่ตอนที่เขามีอายุได้เพียง 4 ปี เขาได้ศึกษาเล่าเรียนที่ โรงเรียน ไวท์ฮอร์ส แมนอร์ จูเนียร์ ,โรงเรียน โธรนตัน เฮลท์ และ โรงเรียนมัธยมเซลส์ดอน
ซาฮา เริ่มต้นอาชีพนักเตะกับสโมสร คริสตัล พาเลซ ตั้งแต่ตอนอายุ 10 ปี และเขาใช้เวลาในการพัฒนาฝีเท้าที่อะคาเดมี่ของพาเลซ 8 ปี จึงได้รับโอกาสลงสนามให้ทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรกด้วยวัยเพียง 18 ปี ในเกมที่พบกับคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ เมื่อ 27 มีนาคม 2010 โดยผู้จัดการทีมชั่วคราว พอล ฮาร์ท ได้เปลี่ยนตัวเขาลงไปสนามใน 10 นาทีสุดท้าย และพอจบฤดูกาลคริสตัล พาเลซก็ได้หยิบยื่นสัญญาในกับเขาเป็นเวลา 2 ปี
ฤดูกาล 2010/11 ซาฮา สามารถพัฒนาฝีเท้าของเขาได้อย่างรวดเร็วและก็ก้าวเข้าไปเป็นหนึ่งในผู้เล่นตัวสำคัญของพาเลซในช่วงปรี-ซีซั่นก่อนเปิดฤดูกาล จนมาถึงวันที่ 7 สิงหาคม เขาก็สามารถทำประตูแรกของเขาในการเล่นฟุตบอลอาชีพในเกมที่เอาชนะเลสเตอร์ ซิตี้ 3-2
หลังจากวันนั้นก็มีผู้เล่นในทีมออกมายกย่องเขากันอย่างมากมายอาทิเช่น แพดดี แม็คคาร์ธี กองหลังของทีมออกมาเปรียบเทียบซาฮากับวิคเตอร์ โมเสส ในฤดูกาลนั้น วิลเฟรด ซาฮา ลงเล่นไปทั้งหมด 44 เกม ยิง 1 ลูก และส่งให้เพื่อนทำประตู 2 ครั้ง
ฤดูกาล 2011/12 ซาฮา เริ่มฤดูกาลอย่างสวยหรูด้วยการซัด 2 ประตูใส่ครอว์ลี่ย์ ทาวน์ เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2011 ในเกมลีกคัพ มาถึงวันที่ 1 ธันวาคม คริสตัล พาเลซ โคจรมาพบกัน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเกมลีกคัพ
เกมนี้เป็นเกมแจ้งเกิดของซาฮาอย่างแท้จริง โดยเขาโชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอดสามารถปั่นป่วนกองหลังของทีมดังได้ตลอดทั้งเกมสุดท้ายแล้วพาเลซก็สามารถเอาชนะผีแดงไปได้ 2-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษหลังเกมซาฮาก็โด่งดังเป็นพลุแตกจนทำให้ทีมยักษ์ใหญ่ทั้งลิเวอร์พูลและแมนฯยูไนเต็ดสนใจที่จะคว้าตัวเขาไปร่วมทีม ช่วงท้ายฤดูกาลซาฮาได้รับการโหวตให้เป็นนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของลีก
ในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาลโดกี้ ฟรีแมน ผู้จัดการทีมคริสตัล พาเลซ ได้เปิดโอกาสให้ซาฮาได้เล่นเป็นศูนย์หน้า และในช่วงท้ายของฤดูกาลเขาก็ได้รับการโหวตจากเพื่อนร่วมทีมให้เป็นนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำทีม สิ้นสุดฤดูกาลซาฮาลงเล่นไปทั้งหมด48 เกม ยิงได้ 9 ประตู และส่งให้เพื่อนทำประตู 5 ครั้ง
ฤดูกาล 2012/13 ซาฮาเริ่มด้วยการส่งให้เพื่อนทำประตูเกมลีกคัพที่ชนะเอ็กเซเตอร์ ซิตี้ แต่ในเกมลีกนัดแรกที่พบกับวัตฟอร์ดพวกเขาพ่ายให้กับแตนอาระวาดไป 2-3 ทำให้พลาด 3 แต้มแรกของฤดูกาลไปและหลังจากพ่ายเกมนั้นพาเลซก็แพ้รวดอีก 4 นัดติดในเกมลีก
แต่หลังจากนั้นพาเลซก่อนสามารถงัดฟอร์มเก่งออกมาได้โดยเก็บได้ 23 แต้มจาก 9 เกม และซาฮาก็สามารถยิง 2 ประตูในเกมเดียวครั้งแรกในเกมที่พบกับวูล์ฟแฮมป์ตัน เมื่อ 3 ตุลาคม 2012 หลังจากนั้นเพียง 3 วัน เขาก็สามารถทำ 2 ประตูในเกมเดียวได้อีกครั้งทีมที่โชคร้ายก็คือเบิร์นลี่ย์
แต่ในวันที่ 25 มกราคม 2013 ของฤดูกาลนั้น วิลเฟรด ซาฮา ก็ตัดสินใจย้ายทีมไปร่วมทัพกับปีศาจแดงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยสัญญา 5 ปีครึ่ง ถึงอย่างไรแมนฯยูไนเต็ดก็ยังคงปล่อยให้ซาฮาเล่นกับพาเลซจนจบฤดูกาลด้วยสํญญายืมตัว สุดท้ายแล้วเขาก็สามารถพาคริสตัล พาเลซเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีกได้ในที่สุด
ฤดูกาล 2013/14 ซาฮา ได้มาสวมชุดแดงอย่างเต็มตัวแต่ถึงอย่างไรพาเลซก็ยังอยากได้เขาไปช่วยทีมสู้ศึกพรีเมียร์ลีกอยู่ แต่ทางผีแดงก็ยังอยากเก็บเขาไว้ใช้งานจึงไม่ได้ปล่อยไป
ในช่วงปรี-ซีซั่น ซาฮา ลงเล่นกับแมนยูเป็นเกมแรกคือเกมที่พ่ายกับสิงห์ออลสตาร์ 0-1 ที่กรุงเทพฯ เขาถูกเปลี่ยนตัวลงไปแทนแอนเดอร์สันในนาทีที่ 63 เกมที่ซาฮาลงเล่นเป็น 11 ตัวจริงนัดแรกคือเกมชนะเอลีกออลสตาร์ 5-1 ที่ซิดนีย์ และประตูแรกที่เขาทำได้ก็มาในเกมที่เสมอเซเรโซ โอซาก้า 2-2 ซาฮาสามารถทำประตูได้ในนาทีสุดท้าย
วันที่ 11 สิงหาคม 2013 วิลเฟรด ซาฮา ลงเล่นอย่างเป็นทางการให้แมนฯยูไนเต็ดเป็นเกมแรกในศึกเอฟเอคอมมูนิตี้ชิลด์ที่ชนะวีแกน 2-0 ซึ่งเขาถูกเปลี่ยนตัวลงไปแทน อันโตนิโอ วาเลนเซีย ในนาทีที่ 61
ด้านทีมชาติ ซาฮาสามารถเลือกเล่นให้ได้ทั้งไอวอรี่ โคสต์และอังกฤษ เพราะเขาเกิดที่ไอวอรี่ โคสต์ แต่สุดท้ายเขาก็เลือกเล่นให้กับอังกฤษในฤดูกาลแรกี่เขาขึ้นมาเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ของคริสตัล พาเลซเขาก็ถูกเรียกมาเล่นให้ทีมชาติอังกฤษชุดยู 19 ในเกมที่เจอกับเยอรมัน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2011
ต่อมาเขาก็ถูกเรียกให้ขึ้นมาเล่นในชุดต่ำกว่า 21 ปี ในที่สุดวิลเฟรด ซาฮา ก็ถูกรอย ฮอดจ์สัน ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่เรียกเขาไปติดทัพในเกมอุ่นเครื่องกับสวีเดนในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2012 โดยเขาลงมาแทน ราฮีม สเตอร์ลิง ในนาทีที่ 83
ส่วนในฤดูกาลนี้ วิลเฟรด ซาฮา ยังไม่ค่อยจะได้รับโอกาสจากเดวิด มอยส์ให้ลงไปโชว์ฝีเท้าเสียเท่าไหร่ แต่ยังมีอีกหลายๆคนยังเชื่อมั่นในฝีเท้าและศักยภาพในตัวเขา ต่อไปจากนี้เราต้องคอยช่วยส่งกำลังใจและช่วยกันลุ้นว่าเขาจะได้ลงสนามอย่างเต็มตัวเมื่อไหร่ และเชื่อได้เลยว่าถ้าเขาได้โอกาสจากมอยส์มากกว่านี้ ซาฮา จะเป็นตำนานของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดและในทีมชาติอังกฤษคนต่อไป
Updated by [Jarupat]