ประวัติ ดีเอโก คอสต้า
กุส ฮิดดิงค์ ผู้จัดการทีมเชลซี ระบุว่า ดิเอโก คอสต้า กองหน้าประจำทีมสิงห์บลูต่อยผนังอุโมงค์ของสนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ จนได้รับความเสียหาย หลังผลเสมอเวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน 2-2 เมื่อวันพุธที่ผ่านมา
ดาวยิงชาวสเปน ออกอาการหงุดหงิดตลอดทั้งเกม จากการถูกผู้เล่นของทีมเยือนตามป่วน จนไม่อาจทำเกมได้ถนัด และมีการโวยวายใส่ผู้ตัดสิน ก่อนที่จะระบายอารมณ์กับอุโมงค์สู่ห้องแต่งตัว แต่กุนซือดัตช์คิดว่าเหตุการณ์ทั้งหมดไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด
"เราซ่อมมันได้ง่ายๆ มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอะไร" ฮิดดิงค์กล่าว
"เขาเป็นคนที่มีความรู้สึกรุนแรง และผมก็ชอบในสิ่งนั้นมากๆ ถ้าคุณจำเป็นต้องคอยผลักดันนักเตะอยู่ตลอดๆ ผมคิดว่ามันคงจะยากมากๆ ที่จะอยู่รอดในพรีเมียร์ลีก แต่ถ้าหากกลับกลายเป็นว่า คุณต้องคอยควบคุมพวกเขาแทน มันจะเป็นเรื่องที่ดีกว่ามาก"
เกมนัดล่าสุดกับ เอฟเวอร์ตัน เมื่อ 16 มกราคม 2016 ดิเอโก้ คอสต้า ก็มีส่วนร่วมกับทีมเป็นอย่างมากจนทัพ ''สิงห์บูล'' เก็บ 1 คะแนนในเกมที่ยากลำบากได้สำเร็จ โดย คอสต้า จัดการซัดประตูตีไข่แตกให้ เชลซี ไล่มาเป็น 1-2 ก่อนที่จะทำอีก 1 แอสซิสต์ให้ ฟาเบรกาส ยิงตีเสมอเป็น 2-2 ช่วยให้จบเกม เชลซี เสมอกับ เอฟเวอร์ตัน ไปอย่างสุดมันส์ 3-3 โดยมาได้ จอห์น เทอร์รี่ ไล่ตามตีเสมอให้อีกครั้งในช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีที่ 8
ชื่อ : ดีเอโก คอสต้า
เชื้อชาติ : บราซิล/สเปน
วันเกิด : 7 ตุลาคม 1988
อายุ : 25 ปี
สถานที่เกิด : เมืองลาการ์โต้ ประเทศบราซิล
ส่วนสูง : 188 ซม.
ต้นสังกัด : แอตเลติโก มาดริด
ตำแหน่ง : กองหน้า
ดีเอโก คอสต้า เกิดที่เมืองลาการ์โต้ ประเทศบราซิล เขาเริ่มเล่นฟุตบอลครั้งแรกที่สโมสร บาร์เซโลน่า เอสปอร์ติโว่ กาเปลา ในเมืองเซา เปาโล จนกระทั่งถึงอายุ 16 ปี โดยชีวิตการค้าแข้งอาชีพของเขาเริ่มต้นผจญภัยในประเทศโปรตุเกส เมื่อเขาได้เซ็นสัญญากับ เอสซี บราก้า ในเดือนกุมภาพันธ์ 2006
และในช่วงซัมเมอร์ของปี 2006 นั้น คอสต้า ถูกยืมตัวไปเล่นให้กับ เอฟซี เปนาเฟล ทีมในดิวิชั่น 2 ของลีกโปรตุเกส โดยที่นี่เขาลงเล่นไปทั้งหมด 13 นัด ยิงได้ 5 ประตู ต่อมา ในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน คอสต้า ก็ถูกขายไปให้กับ แอตเลติโก มาดริด ด้วยราคา 1.5 ล้านยูโร (ราว 60 ล้านบาท) แต่เขาก็ยังคงลงเล่นให้กับ บราก้า ในฐานะนักเตะยืมตัว จนกระทั่งจบฤดูกาล ซึ่งเขายิงประตูแรกให้กับ บราก้า ในศึกยูฟ่า คัพ นัดที่เอาชนะ ปาร์ม่า ไป 1-0 ซึ่ง คอสต้า ทำสถิติลงสนามให้กับ บราก้า ไปทั้งสิ้น 9 นัด ยิงได้ 1 ประตู
ในฤดูกาล 2007-08 ดีเอโก คอสต้า ถูกปล่อยให้ เซลต้า บีโก้ ยืมตัวไปเล่น ซึ่งเขาทำสถิติลงสนามให้กับ เซลต้า ไปทั้งสิ้น 30 นัด ยิงได้ 5 ประตู ต่อมา ในฤดูกาล 2008-09 เขาก็ถูกปล่อยให้ อัลบาเซเต้ ยืมตัวไปอีก โดยที่นี่ คอสต้า ได้รับโอกาสลงสนามไป 35 นัด ซัดไป 9 ประตู
เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2009 ดีเอโก คอสต้า ถูกขายไปให้กับ เรอัล บายาโดลิด โดยเป็นส่วนหนึ่งของการซื้อตัวผู้รักษาประตู เซร์กิโอ อาเซนโก้ ซึ่งมีออปชั่นที่สามารถซื้อตัวกลับได้ ในตอนจบฤดูกาล และในฤดูกาล 2009-10 นี้ เขาลงสนามให้กับ บายาโดลิด ไปทั้งหมด 34 นัด ยิงได้ 7 ประตู
ในเดือนมิถุนายน 2010 ดีเอโก คอสต้า กลับมาสู่ แอตเลติโก มาดริด อีกครั้ง โดยมาเป็นกองหน้าสำรองของ กุน อเกวโร่ และ ดีเอโก ฟอร์ลัน แต่การบาดเจ็บของ กุน อเกวโร่ ทำให้เขามีโอกาสได้ลงสนาม ตอนจบฤดูกาล คอสต้า มีสถิติลงสนามให้กับทีม "ตราหมี" ไป 39 นัด ยิงได้ 8 ประตู รวมในทุกรายการ
ในฤดูกาล 2011-12 ดีเอโก คอสต้า ถูกปล่อยให้กับ ราโย บาเยกาโน่ ยืมตัวไปใช้งาน ซึ่งเขาทำสถิติลงสนามไปทั้งสิ้น 16 นัด ยิงได้ 9 ประตู ต่อมา ในฤดูกาล 2012-13 คอสต้า กลับมาลงเล่นให้กับ แอตเลติโก มาดริด ต้นสังกัดที่แท้จริงอีกครั้ง คราวนี้ เขาได้เป็นตัวหลักของทีม โดยเขาลงรับใช้ทีมไปทั้งหมดในทุกรายการถึง 44 นัด ยิงได้ 20 ประตู
และล่าสุด ในฤดูกาล 2013-14 นี้ ดีเอโก คอสต้า โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมให้กับ แอตเลติโก มาดริด โดยกดไปแล้วถึง 13 ประตู จากการลงสนาม 13 นัด ให้กับต้นสังกัด ก่อนหน้านี้ เขามีข่าวว่า ลิเวอร์พูล ต้องการตัวเขาไปร่วมทีมด้วยค่าตัวสูงถึง 25 ล้านยูโร (ราว 1,000 ล้านบาท) แต่ คอสต้า ก็ตัดสินใจต่อสัญญากับ แอตเลติโก มาดริด ต่อไปจนถึงปี 2018
1 กรกฎาคม 2014 เชลซี ยอมจ่ายค่าฉีกสัญญาของ ดิเอโก คอสต้า ถึง 32 ล้านปอนด์ (ประมาน 1,600 ล้านบาท) และดึงมาร่วมทัพ โดย ''สิงห์บูล'' มีการเปิดตัว คอสต้า ไปเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม ซึ่งเซ็นต์สัญญาด้วยกันทั้งหมด 5 ปี ค่าเหนื่ออยู่ที่ 150,000 ปอนด์ ต่อสัปดาห์ ดิเอโก ได้ให้สัมภัษณ์ว่า ''เขารู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่ได้ย้ายมาร่วมทีมกับทางด้าน เชลซี ทุกคนต่างรู้ดีว่าที่นี่เป็นสโมสรที่ยิ่งใหญ่ และพร้อมที่จะประสบความสำเร็จในทุกๆรายการ และตัวเขาเองก็รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากกับการมาเริ่มต้นใหม่ที่เกาะอังกฤษกับกุนซือที่ยอดเยี่ยม ผมรู้ว่าที่นี่มีการแข่งขันสูงมากหากคุณอยากลงสนามเป็นตัวจริง แต่นั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขเป็นอย่างมาก''
ฤดูกาลแรกของเขากับ เชลซี คอสต้า สามารถยิงประตูแรกในสีเสื้อใหม่ได้เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2014 ในเกมอุ่นเครื่องกับ สโลเวเน่ ก่อนที่จะยิงประตูที่ 2 ในช่วงปรีซีซั่นใส่ เฟเนบาห์เช่ และปิดท้ายช่วงปรีซีซั่นด้วยการกดคนเดียว 2 ประตูใน สแตมฟอร์ด บริดจ์ ให้ เชลซี เอาชนะ เรอัล โซเซียดัด ไปได้ 2-0 ดิเอโก ลงเล่นเกมแรกกับทัพ ''สิงห์บูล'' อย่างเป็นทางการเมื่อ 18 สิงหาคม ในเกมลีกที่พบกับ เบิร์นลี่ย์ โดยประตูแรกของเขาอย่างเป็นทางการเกิดขึ้นในเกมลีกนัดที่ 2 ที่ เชลซี เอาชนะ เลสเตอร์ ซิตี้ ไปได้ 2-0
เขาปรับตัวเข้ากับศึก พรีเมียร์ลีก ได้อย่างรวดเร็วเพราะเพียงนัดที่ 4 ในเกมลีกเท่านั้น คอสต้า ก็ระเบิดแฮทริคแรกได้สำเร็จในเกมที่พบกับ สวอนซี ซึ่งเขาก็กลายเป็นนักเตะที่ยิงประตูได้เยอะที่สุดของช่วงต้นฤดูกาล 4 นัดเพราะยิงไปคนเดียวถึง 7 ประตู และสามารถคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำเดือนไปครองได้สำเร็จอีกด้วย
26 เมษายน คอสต้า ให้เป็น 1 ในกองหน้าติดทีมยอดเยี่ยมประจำปีของ PFA โดยยืนจับคู่ในแนวรุกกับ แฮร์รี่ เคน ฤดูกาลแรกของเขากับ เชลซี คอสต้า ยิงไปได้ถึง 20 ประตู และกลายเป็นขวัญใจของแฟนบอล ''สิงห์บูล'' ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเขาก็ตั้งความหวังไว้ว่าจะพา เชลซี กวาดทุกแชมป์ที่ลงเล่นให้ได้
ฤดูกาลที่ 2 กับ เชลซี คอสต้า เริ่มต้นด้วยอาการบาดเจ็บจนทำให้เขาพลาดในเกม คอมมูนิตี้ ชิลด์ ที่ต้องพบกับ อาร์เซน่อล ซึ่งเกมนั้น ''สิงห์บูล'' แพ้ไป 0-1 กลางเดือน สิงหาคม เขากลับมาลงสนามให้กับ เชลซี ได้อีกครั้งและสามารถทำประตูแรกในฤดูกาลนี้ได้สำเร็จในเกมที่เอาชนะ เวสต์บรอมวิช 3-2 โดยในตอนนั้นเขาก็ได้ถูกเรียนไปติดทีมชาติ สเปน อีกด้วย 16 กันยายน เขาทำประตูแรกใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก กับ เชลซี ได้สำเร็จช่วยให้ทีมเอาชนะ มัคคาบี้ เทล อาวีฟ ไปได้ 4-0
3 วันต่อมา ดิเอโก คอสต้า สร้างเรื่องอื้อฉาวให้ตัวเองอีกครั้งหลังจากที่ไปเล่นตุกติกใส่ กอสเซียนี่ และ กาเบรียล กองหลังของ อาร์เซน่อล ซึ่งรายหลังควบคุมอารมณ์ไม่อยู่จนโดนไล่ออกจากสนามไป ซึ่งทำให้ เชลซี สามารถเอาชนะ ''ไอ้ปืนใหญ่'' ไปได้ในเกมนั้น 2-0 แต่แล้วเมื่อวันที่ 21 กันยายน คอสต้า ก็โดนโทษแบนตามมาย้อนหลังโดยโดนแบนไปถึง 3 เกมด้วยกัน แถมเขายังถูกสำนักข่าวอย่าง เดลี่ย์ เอ็กเพรส หมายหัวด้วยว่าเป็นนักเตะที่เล่นสกปรกที่สุดในพรีเมียร์ลีก
17 ตุลาคม คอสต้า พ้นโทษแบนกลับมาลงสนามได้อีกครั้ง และเขาก็สามรถทำประตูได้ทันทีในเกมที่เอาชนะ แอสตัน วิลล่า ไปได้ 2-0 โดยในเดือนต่อมา คอสต้า แสดงพฤติกรรมรุนแรงออกมาอีกแล้วหลังจากไปมีปัญหากับ มาร์ติน สเคอร์เทล ของ ลิเวอร์พูล แต่ครั้งนี้เจ้าตัวรอดพ้นจากการโดนแบนจาก เอฟเอ 29 พฤศจิกายน ในเกมกับ สเปอร์ส คอสต้า ก่อเรื่องอีกแล้วเมื่อเขาแสดงอาการไม่พอใจออกมาด้วยการปาเสื้อเอี๊ยมลงพื้นหลังการเปลี่ยนตัวของ โจเซ่ มูรินโญ่ ในเกมนั้นไม่ส่งเขาลงสนามและส่งเป็นดาวรุ่งอย่าง รูเบน ลอฟตัส ชีค ลงสนามไปแทน ซึ่งหลังเกม ''เดอะ สเปเชียลวัน'' ก็ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า ''มันเป็นเรื่องธรรมดาที่นักเตะระดับโลกไม่มีความสุขเมื่ออยู่บนม้านั่งสำรอง''
การจากไปของ โจเซ่ มูรินโญ่ ถูกเชื่อมโยงมาถึงฟอร์มการเล่นของ ดิเอโก คอสต้า , ออสการ์ และ เชส ฟาเบรกัส ที่ดรอปลงไปอย่างน่าใจหายจนหลายๆคนแอบคิดว่า 3 คนนี้เล่นเพื่อไล่กุนซือเบอร์หนึ่งของโลกออกจากทีมหรือเปล่า เพราะการเข้ามาคุมทีมของ กุส ฮิดดิ้งค์ ในเกมแรก คอสต้า ก็กลับมายิงคนเดียว 2 ประตูในเกมที่ เชลซี เสมอกับ วัตฟอร์ด ไป 2-2
สำหรับในนามทีมชาติ ดีเอโก คอสต้า ถูกเรียกตัวติดทีมชาติบราซิล โดยกุนซือหลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ ในนัดอุ่นเครื่องกับ อิตาลี และ รัสเซีย เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2013 ซึ่งเขาได้ลงสนามเป็นครั้งแรกในนัดที่ เสมอกับ อิตาลี 2-2 ในฐานะตัวสำรอง
แต่เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา สมาคมฟุตบอลของสเปนได้ทำเรื่องยื่นต่อฟีฟ่าเพื่อให้เขาเปลี่ยนมาลงเล่นให้กับทีมชาติสเปน และล่าสุดนี้ ดีเอโก คอสต้า สามารถลงเล่นในนามทีมชาติสเปนอย่างเป็นทางการได้แล้ว
29 ตุลาคม 2013 คอสต้า ออกมาประกาสเองเลยว่าเขาสนใจที่จะลงเล่นให้กับทีมชาติ สเปน มากกว่า ทีมชาติ บราซิล และได้ส่งหนังสือถึงสมาคมฟุตบอลของ บราซิล เป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วย ซึ่งนายใหญ่ของ บราซิล ในตอนนั้นอย่าง สโคลารี่ ก็ออกมาบอกเลยว่า ''นักเตะบราซิเลี่ยนที่ปฎิเสธที่จะสวมเสื้อบราซิลลงเล่นในศึก เวิลด์คัพ เขาจะถูกถอดชื่อออกไปอย่างแน่นอน เราจะกลับไปตามหาอีกล้านกว่าความฝันที่อยากลงเล่นในนามทีมชาติของเรา พวกเราคือทีมแชมป์โลก 5 สมัย พวกเราคือ บราซิล'' ซึ่งเป็นการแหน็บแนม คอสต้า ได้อย่างถึงพริกถึงขิงเลยทีเดียว
28 กุมภาพัน 2014 บิเซนเต้ เดล บอสเก้ เรียก ดิเอโก คอสต้า เข้าไปติดทีม ''กระทิงดุ'' จนได้ในเกมอุ่นเครื่องกับ อิตาลี แต่ทว่าเจ้าตัวก็พลาดการลงสนามไป ถึงอย่างไร 5 มีนาคม เขาก็ได้ลงเล่นเต็มเวลา 90 นาทีให้กับทีมชาติ สเปน ในเกมอุ่นเครื่อง
คอสต้า มีชื่อติดเป็น 30 คนในการลุ้นไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 2014 ที่ประเทศบราซิล โดยวันตัดตัว 31 พฤษภาคม คอสต้า หายเจ็บกลับมาได้ทันพอดี และถูกส่งลงไปยืดเส้นยืดสายในเกมที่พบกับทีมชาติ เอล ซัลวาดอร์ และก็สามารถเอาชนะไปได้ 2-0 เกมนัดแรกในศึก ฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 2014 สเปน พบกับ ฮอลแลนด์ ซึ่ง ดิเอโก คอสต้า สามารถเรียกจุดโทษให้ทีมได้ก่อนที่ ชาบี อลอนโซ่ จะสังหารเข้าไปให้ ''กระทิงดุ'' นำก่อน 1-0 ทว่าสุดท้ายแล้ว สเปน แพ้ไปแบบยับเยิน 1-5 โดยระหว่างเกมเขาโดนแฟนบอลชาว บราซิล โห่ใส่ตลอดทั้งเกม ซึ่งหลังเกม คอสต้า ก็ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ''ผมมีเชื้อสาย สเปน และยังมีคน สเปน ที่ยังหนุนหลังผม คำวิจารณ์หรือคำสบประมาทจากที่นี่ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อผมเลย''
เกมนัดที่ 2 คอสต้า ได้โอกาสออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในเกมที่ สเปน แพ้ให้กับ ชิลี 0-2 ซึ่งสิ่งที่แย่กว่านั้นคือเขาโดนเปลี่ยนตัวออกจากสนามด้วย และในเกมสุดท้ายกับ ออสเตรเลีย เขาไม่ได้ถูกส่งลงสนามเลย แต่ทัพ ''กระทิงดุ'' สามารถไล่ต้อนเอาชนะไปได้ 3-0
ดิเอโก คอสต้า ยิงประตูแรกในสีเสื้อ สเปน ได้สำเร็จในเกมที่ สเปน ถล่มเอาชนะ ลักเซมเบิร์ก ไปได้ 4-0 ในศึก ยูโร 2016 รอบคัดเลือก เมื่อ 12 ตุลาคม 2014 เกมที่พบกับ สโลวาเกีย เมื่อ 5 กันยายน 2015 คอสต้า เรียกจุดโทษให้กับทีมได้สำเร็จแต่ทว่าตอนเปลี่ยนตัวกับ ปาโก อัลคาเซร์ เขาโดนเสียงโห่จากแฟนบอลหนักมาก ซึ่ง เดล บอสเก้ ก็ได้ออกมาปกป้องเขาว่า ''คอสต้า โชว์ฟอร์มได้ดีมากและทำให้แนวรับของ สโลวาเกีย ปั่นป่วนอย่างสุดๆ''