ประวัติ หลุยส์ ซัวเรซ

| 01/01/1970 07:00 น. | 1179 Views

     หลุยส์ ซัวเรซ กองหน้าบาร์เซโลนา กล่าวยกย่องให้พรีเมียร์ลีกเป็นลีกที่ดีที่สุดในโลก แต่ต้นสังกัดปัจจุบันของเขาถือเป็นทีมที่ดีที่สุด

     ดาวยิงชาวอุรุกวัย เคยค้าแข้งในอังกฤษกับลิเวอร์พูล และคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมมาแล้ว ก่อนที่จะย้ายไปเล่นในคัมป์นู และคว้าเทรเบิลแชมป์ได้เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา

     "พรีเมียร์ลีกคือลีกที่ดีที่สุดในโลก แต่บาร์เซโลนาคือทีมที่ดีที่สุด" ซัวเรซกล่าวทาง ESPN Deportes Radio "ผมไม่คิดว่าผมเป็นหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดในโลกหรอกนะ แต่ผมดีใจที่ได้เล่นในทีมที่ดีที่สุด

     "เรายังมีเป้าหมายอีกมากให้ต้องเติมเต็ม เราอยากจะเป็นทีมแรกที่คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ติดต่อกัน

     "เรามีแรงจูงใจมากในปีนี้ เรามีพันธะที่จะต้องชนะไปเรื่อยๆ"

หลุยส์ ซัวเรซ ( Luis Alberto Suárez Díaz )

 

ข้อมูลส่วนตัว


ชื่อเต็ม:    หลุยส์ อัลเบร์โต ซัวเรซ ดีอัซ
วันเกิด:    24 มกราคม ค.ศ. 1987 (26 ปี)
สถานที่เกิด:    ซัลโต, ประเทศอุรุกวัย
ส่วนสูง:    1.79 เมตร (5.9 ft)
ตำแหน่ง:    กองหน้า


ข้อมูลสโมสร
สโมสรปัจจุบัน:    ลิเวอร์พูล
หมายเลข:    7


สโมสรเยาวชน
2003-2005    นาซีอองนัล

 

สโมสรอาชีพ
    ปี                             สโมสร                  ลงเล่น        (ประตู)
2005-2006               นาซีอองนัล                   34           (12)
2006-2007               โกรนิงเงิน                      37           (15)
2007-2011               อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม     160          (111)
2011-ปัจจุบัน             ลิเวอร์พูล                      77           (38)
 
 
ทีมชาติ
    ปี                             สโมสร                  ลงเล่น        (ประตู)
2007                       อุรุกวัย ยู20                     4            (2)
2012                       อุรุกวัย ยู23                     4            (3)
2007–ปัจจุบัน            อุรุกวัย                          70           (36)

 

           หลุยส์ อัลเบร์โต ซัวเรซ ดีอัซ (สเปน: Luis Alberto Suárez Díaz) เกิดเมื่อวันที่ 24 มกราคม ค.ศ. 1987 ที่เมืองซัลโต ประเทศอุรุกวัย เป็นนักฟุตบอลชาวอุรุกวัย ปัจจุบันเล่นให้กับสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล ตำแหน่งกองหน้า
          ซัวเรซ เกิด ณ เมืองซัลโต ประเทศอุรุกวัย ไม่นานนักครอบครัวได้ย้ายมาตั้งรกรากที่เมือง มอนเตวิเดโอ ที่นี่เองที่เด็กชายเติบโตขึ้นมาจากการเลี้ยงดูของมารดาเพียงลำพัง ร่วมกับพี่น้อง 6 คน ต่อมาในปี ค.ศ. 2005 ซัวเรซได้เซ็นต์สัญญาเป็นนักฟุตบอลอาชีพกับสโมสรนาซีอองนัล ของเมืองมอนเตวิเดโอ สโมสรที่ซัวเรสเล่นมาตั้งแต่ระดับเยาวชน เมื่ออายุถึง 19 ปี เขาจึงย้ายสโมสรเป็นครั้งแรกไปสู่ สโมสรฟุตบอลโกรนิงเงิน ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในปี 2006 และย้ายทีมอีกครั้งในปี 2007 ไปยังสโมสรชื่อดัง สโมสรอาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม ในฤดูกาล 2008-09 ได้รับรางวัลผู้เล่นแห่งปีของสโมสร และทำประตูเป็นดาวซัลโวของสโมสร ถึงแม้ว่าจะถูกทำโทษเนื่องจากมีปัญหากับเพื่อนร่วมทีม และได้รับถึง 7 ใบเหลืองในฤดูกาลเดียว ในฤดูกาลนี้ เขายังได้เป็นกัปตันของสโมสรอาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม ยิง 35 ประตู จาก 33 เกม ในลีก ได้รับรางวัลผู้เล่นแห่งปีของลีกเนเธอร์แลนด์ ยิงรวมทุกถ้วย 49 ประตู ในฤดูกาล 2010-11 เขายิงให้สโมสรอาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม ครบ 100 ลูก ทำผลงานเทียบชั้นตำนานของสโมสร อาทิ โยฮัน ครัฟฟ์, มาร์โก แวน บาสเทน และเดนนิส เบิร์กแคมป์ แต่ในฤดูกาลนี้มีเหตุการณ์อื้อฉาวคือ ซัวเรซไปกัดที่ไหล่ของนักเตะพีเอสวี ออสมาน แบคคาล และถูกแบน 7 นัด ระหว่างที่ถูกแบนในเดือนมกราคม สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลจากประเทศอังกฤษได้ซื้อตัวเขาในมูลค่า 26.5 ล้านยูโร นับแต่การมาของซัวเรซ ลิเวอร์พูลขยับจากอันดับที่ 12 ของตาราง ณ กลางเดือนมกราคม 2011 ไปจบที่อันดับ 6 เมื่อสิ้นสุดฤดูกาลโดยเป็นผู้เล่นที่เป็นกุญแจสำคัญของลิเวอร์พูล
          ในส่วนของการรับใช้อุรุกวัย ซัวเรสได้เป็นสมาชิกของทีมชุดยู 20 เข้าร่วมแข่ง บอลโลก ยู20 ประจำปี 2007 ในปี 2007 นี้เองซัวเรซได้ลงเล่นทีมชาติชุดใหญ่นัดแรกเจอกับ ทีมชาติโคลัมเบีย และทำประตูได้ แต่ก็โดนไล่ออกจากสนามเนื่องจากรับ 2 ใบเหลือง ในฟุตบอลโลก ปี 2010 ซัวเรซมีบทบาทสำคัญในทีมชุดนี้ที่ได้อันดับที่ 4 โดยทำประตูได้ 3 ลูกตลอดการแข่งขัน เขาเรียกตัวเองว่า หัตถ์พระเจ้า จากการแข่งขันรายการนี้ในนัดพบทีมชาติกานา ที่ใช้มือป้องกันประตูช่วยให้ทีมอุรุกวัยผ่านเข้ารอบต่อไป ในปี 2011 ซัวเรสและทีมชาติอุรุกวัยได้แชมป์ โคปาอเมริกา ในการแข่งขันนี้ซัวเรสได้รางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยม และยิงไปถึง 4 ประตู

เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ค.ศ. 2010 ภรรยาของเขาให้กำเนิดลูกสาวคนแรกที่เมืองบาร์เซโลนา ตั้งชื่อเธอว่าเดลฟินา

 

สโมสรอาชีพ

นาซีอองนัล
          ซัวเรซเริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลกับทีมในบ้านเกิด ทีมนาซีอองนัล ทีมที่เขาเล่นในระดับเยาวชนมาตั้งแต่อายุ 14 คืนหนึ่งเขาถูกจับได้ว่าดื่มเหล้าในงานปาร์ตี้ ผู้ฝึกสอนในขณะนั้นปรามเขาว่า เขาจะไม่ได้เล่นฟุตบอลอีกถ้ายังไม่จริงจังกับการเล่นฟุตบอล  ในเดือนพฤษภาคม 2005 เมื่อเขาอายุได้ 16 ปี เขาได้ลงเล่นให้สโมสรอย่างเป็นทางการโดยพบกับทีม จูเนียร์ เดอ บารานควิลลา ในการแข่งขันลิเบอร์ตาดอเรส คัพ เขาทำประตูแรกได้ในเดือน กันยายน 2005 และช่วย นาซีอองนัล เป็นแชมป์ อุรุกวัยพรีเมียร์ดิวิชัน 2005-06 โดยทำได้ 10 ประตู ใน 27 เกม

โกรนิงเงิน
         ซัวเรซถูกจับตาจากกลุ่มแมวมองของ สโมสรฟุตบอลโกรนิงเงิน ในตอนที่พวกเขาเดินทางไปประเทศอุรุกวัย เพื่อดูฟอร์มนักเตะอีกคนหนึ่ง ในเกมส์นั้นซัวเรสสร้างสรรค์เกม ยิงจุดโทษ และทำประตูที่สวยงาม หลังเกมนั้น กลุ่มแมวมองสนใจที่จะเซ็นต์สัญญาซื้อ ซัวเรซ หลังจบฤดูกาลนั้นสโมสรฟุตบอลโกรนิงเงิน เซ็นสัญญาซื้อเขาในราคา 800,000 ยูโร ซัวเรซอยากที่จะย้ายไปเล่นที่ยุโรปเพราะว่าแฟนของเขาและภรรยาในปัจจุบัน โซเฟีย บาลบิ ได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองบาร์เซโลนาก่อนหน้านี้ ก่อนหน้านี้เขาต้องรักษาความสัมพันธ์จากการต้องห่างกันเอาไว้ และนี่เป็นโอกาสที่เขาจะได้อยู่ใกล้แฟนสาวมากขึ้น

เอเอฟซีอาแจ็กซ์
ซัวเรซ กับ สโมสรฟุตบอลเอเอฟซีอาแจ็กซ์
         ในช่วงปี ค.ศ. 2007 ซัวเรซได้เซ็นสัญญากับ เอเอฟซีอาแจ็กซ์เอาไว้ 4 ปี โดยเขาได้ลงเล่นเป็นตัวจริงในลีกและบอลถ้วยเกือบทุกนัด และยังได้ถูกเลือกให้เป็นผู้สวมปลอกแขนกัปตันทีมเอเอฟซีอาแจ็กซ์ อีกด้วย ซัวเรซนำทีมอาแจ็กซ์ คว้าแชมป์แชมป์เอเรดิวีซี่ ของลีกสูงสุดในประเทศ เนเธอร์แลนด์ในช่วงฤดูกาล 2010-2011 และ แชมป์เคเอ็นวีบี คัพ ในช่วงฤดูกาล 2009-2010 ก่อนที่จะย้ายไปสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลของ พรีเมียร์ลีก ที่ประเทศอังกฤษ ในปลายฤดูกาล 2010-2011

ลิเวอร์พูล
หลุยส์ ซัวเรซ เล่นให้กับ สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล ใน ปี ค.ศ. 2011

          ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2011 ลิเวอร์พูล ได้ซื้อกองหน้ามา 2 คนคือ แอนดี แคร์โรล และ หลุยส์ ซัวเรซ เข้ามาในถิ่นแอนฟิลด์ และได้เซ็นสัญญาให้กับ สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล ถึงปี 2016 โดยซัวเรซได้มีโอกาสลงเล่นตัวจริงค่อนข้างมากถึงแม้จะอยู่ในช่วงปลายฤดูกาล 2010-11 แล้วก็ตาม เคนนี ดัลกลิช ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลได้เห็นความสามารถและความพิเศษของเขาคนนี้ ดัลกลิชเลยให้เขาสวมเสื้อเบอร์ 7 โดยได้ตั้งเป้าไว้ว่าจะให้ซัวเรซเป็นตำนานของลิเวอร์พูบต่อจากเขาต่อไป เกมแรกที่ซัวเรซได้เล่นให้กับ ลิเวอร์พูล เป็นครั้งแรกและเล่นในถิ่นแอนฟิลด์คือการเจอกับ สโต๊ค ซิตี้ โดยซัวเรซทำไป 1 ประตู และทำให้ลิเวอร์พูลชนะไป 2-0 โดยถูก ส่งลงมาเป็นตัวสำรองและก็ประเดิมประตูแรกของตัวเองในสีเสื้อลิเวอร์พูล ได้ทันที เรียกว่าเป็นการลดความกดดันทั้งในเรื่องค่าตัวและเบอร์เสื้ออย่างสิ้นเชิง และในวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 2011 ในนัดที่ ลิเวอร์พูลเปิดรังแอนฟิลด์ตอนรับการมาเยือนของคู่อริ สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ถึงแม้ในวันนั้นซัวเรซจะไม่ได้ทำประตูแต่ก็ช่วยจ่ายบอลให้เพื่อนร่วมทีมทำประตูชนะ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ไป 3-1 ซัวเรซได้จ่ายไป 2 ลูก โดยการทำ แฮตทริกของ เดิร์ค เคาท์ ปีกขวาทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ซึ่งในเกมนั้นยังต้องหลบซีนตำแหน่ง นักเตะยอดเยี่ยมประจำ เกมให้กับเขาเลยทีเดียว ซัวเรซทำสถิติตลอดระยะเวลา 5 เดือนแรกกับหงส์แดงด้วยการทำไป 4 ประตูจาก 13 เกม และก้าวเข้าไปอยู่ในหัวใจของสาวกเดอะ ค็อปได้อย่างเต็มตัว รวมถึง บรรดาเพื่อนร่วมทีมที่เรียงหน้าออกมาชมไม่ขาดสาย และช่วยให้ ลิเวอร์พูล จบอันดับที่ 6 เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2010-11 ซัวเรซ ก็กลายเป็นผู้เล่นที่เป็นกุญแจสำคัญของลิเวอร์พูล

          ในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2011-12 ลิเวอร์พูล ลงเล่นนัดแรกเจอกับ ซันเดอร์แลนด์ โดย ซัวเรซ ยิงจุดโทษพลาดในช่วงต้นเกม แต่เขาก็ยิงประตูให้ลิเวอร์พูลออกนำไปก่อน 1-0 ก่อนจะจบด้วยผลเสมอกัน 1-1 ต่อมา ในวันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 2011 ซัวเรซ ก็ทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เอาชนะ อาร์เซนอล ถึง เอมิเรตส์สเตเดียม 2-0 ต่อมา ซัวเรซ ก็ทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เปิดบ้านเอาชนะ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส 2-1 ต่อมา ในวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 2011 ซัวเรซ ก็ทำประตูที่ 4 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เอฟเวอร์ตัน คู่ปรับร่วมเมือง 2-0 โดยในปีนี้ ได้สร้างเรื่องฉาวไว้หนึ่งคดี คือกรณีพูดจาเยียดสีผิว เอฟร่า ในเกมที่ต้องพบกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในเดือนตุลาคม ทำให้เขาโดนตัดสินโทษแบน 8 เกม และโดนปรับเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 40,000 ปอนด์

          เริ่มต้นฤดูกาล 2012-13 ในวันที่ 7 สิงหาคม 2012 ซัวเรซได้ทำการเซ็นสัญญาระยะยาวกับลิเวอร์พูล ต่อมาในวันที่ 26 สิงหาคม เขายิงประตูแรกในฤดูกาล 2012-13 ในเกมที่เสมอ 2-2 กับแชมป์เก่าแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่แอนฟิลด์ และในวันที่ 29 กันยายน 2012 เขาได้ซัดแฮททริกให้กับลิเวอร์พูล ในเกมพรีเมียร์ลีกในเกมที่ต้องออกไปเยือนนอร์วิช ซิตี้ ซึ่งเป็นการซัดแฮททริกในฤดูกาลที่สองติดต่อกัน

          ในวันที่ 6 มกราคม 2013 ซัวเรซใช้มือช่วยในการทำประตูในเกมที่ชนะ แมนส์ฟิลด์ ทาวน์ จากลีกคอนเฟอร์เรนส์ ในเกมเอฟเอคัพ รอบสาม โดยที่กุนซือตาหวาน เบรนแดน ร็อดเจอรส์ ออกโรงปกป้องลูกทีมสุดๆ

          ต่อมาในวันที่ 19 มกราคม เขาได้ยิงประตูที่ 7 ใน 3 ครั้งที่พบกับนอร์วิช และทำให้ลิเวอร์พูลเก็บชัยชนะในบ้านได้สำเร็จ 5-0 สัปดาห์ต่อมา ซัวเรซได้สวมปลอกแขนกัปตันทีมเป็นครั้งแรก ในเกมเอฟเอคัพ รอบสี่ ที่ต้องลงสนามพบกับ "หมูชรา" โอลด์แฮ่ม แอตเลติก ซึ่งนัดนัดนั้นลิเวอร์พูลพ่ายแพ้ไปด้วยสกอร์ 2-3 ต่อมาในวันที่ 10 มีนาคม ซัวเรซได้ยิงประตูที่ 50 ได้สำเร็จ ตั้งแต่สวมเสื้อลิเวอร์พูล เป็นประตูแรกของเกม ทำให้ลิเวอร์พูลเก็บชัยชนะในบ้านนัดสำคัญกับสเปอร์สไปได้ 3-2

          ในช่วงท้ายสุดของฤดูกาล ซัวเรซเป็น 1 ใน 6 คนที่มีรายชื่ออยู่ใน "นักเตะแห่งปีของนักเตะพีเอฟเอ" เขาได้อันดับที่ 2 ของดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2012-13 ด้วยประตูทั้งสิ้น 23 ประตู และเป็นดาวซัลโวของทีมอีกด้วย จากการยิง 30 ประตูรวมทุกรายการที่ลงแข่งขัน

          กรณีการกัดของซัวเรซ ในวันที่ 21 เมษายน 2013 ในเกมที่เสมอกับเชลซี 2-2 ในถิ่นแอนฟิลด์ ด้วยการกัดไปบริเวณท่อนแขนของ บรานิสลาฟ อิวาโนวิช จึงทำให้เขานั้นได้รับโทษแบนเป็นจำนวน 10 นัด ยาวตั้งแต่ปลายฤดูกาล 2012-13 ไปจนถึงต้นฤดูกาล 2013-14

          วันที่ 31 พฤษภาคม 2014 ซัวเรซ ออกมาประกาศว่าต้องการย้ายออกจากถิ่นแอนฟิลด์ โดยให้เหตุผลส่วนตัวว่าถูกสื่อจากเกาะอังกฤษ คุกคามชีวิตส่วนตัว จากนั้นวันที่ 6 สิงหาคม ลิเวอร์พูล ปฏิเสธข้อเสนอ 40.1 ล้านปอนด์ ของอาร์เซน่อล ในการยื่นซื้อตัวดาวยิงอุรุกวัยไปแบบไม่ใยดี กระทั่งมีปัญหาบานปลายในเวลาต่อมาเมื่อ ซัวเรซ อ้างว่า สโมสรผิดสัญญที่ให้ให้ไวกับตัน 

          ทว่าในวันถัดมา เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล ก็ออมาจวกซัวเรซ ว่าไม่มีคำสัญญาใดๆจากสโมสรแม้แต่คำเดียว ส่งผลให้เทรนเนอร์ชาวไอแลนด์เหนือลงโทษกองหน้าฟันเหยิน ด้วยการส่งเจ้าตัวแยกออกไปซ้อมกับทีมสำรอง ถัดมาในวันที่ 8 สิงหาคม จอห์น ดับเบิ้ลยู เฮนรี่ ออกมาย้ำอีกเสียง เรื่องซัวเรซ จะไม่ได้ย้ายทีม

 

  วันที่ 14 สิงหาคม 2014 กองหน้าเจ้าปัญหา ออกมาประกาศอีกครั้งแบบงงกันทั้งโลกว่าต้องการจะอยู่กับสโมสรต่อไป และพร้อมจะต่อสัญญากับลิเวอร์พูลอีกด้วย พร้อมกับให้เหตุผลว่าได้แรงสนับสนุนจากกองเชียร์ และรู้สึกซาบซึ้งจากกำลังใจของ "เดอะ ค็อป" จากนั้นสองวันถัดมา ซัวเรซ ได้กลับมาซ้อมกับทีมชุดใหญ่อีกครั้ง หลังจากเจ้าตัวออกมาขอโทษต่อหน้าสาธารณะ 

 วันที่ 25 กันยายน หัวหอกทีมชาติอุรุกวัย พ้นโทษแบนยาวกลับมาล่าตาข่ายได้เป็นครั้งแรกในศึกลีก คัพ รอบ 3 ซึ่งพบกับอริตลอดกาลแมนฯ ยูไนเต็ด ที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ทว่าซัวเรซ ช่วยทีมได้ไม่มาก ก่อนที่ "หงส์แดง" จะพ่ายไป 0-1 เกมถัดมาเป็นศึกพรีเมียร์ลีก โดยลิเวอร์พูล เจอกับซันเดอร์แลนด์ และ ซัวเรซ ได้ฤกษ์ประเดิมเกมลีกอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก พร้อมกับไม่ทำให้แฟนบอลผิดหวัง เมื่อกดไป 2 ตุง ช่วยให้ต้นสังกัดบุกต้อน "แมวดำ" ถึงสเตเดี้ยม ออฟ ไลท์ 3-1 

 

          จากนั้นหัวหอกฟันยื่น เครื่องติดเต็มสตีม เมื่อบวกประตูให้ตัวเองเป็นว่าเล่น ซึ่งมีไฮไลท์อยู่ที่ เกมถล่มเวสต์บรอมวิช 4-1 และไล่ยำนอริช 5-1 โดยเจ้าตัวกดแฮตทริกในเกมแรก ตามด้วยกระทุ้งคนเดียว 4 ตุงในเกมถัดมา และล่าสุด ซัวเรซ ยิงไปอีก 2 ตุงในนัดบุกสอนบอลสเปอร์ส 5-0 เท่ากับว่า "คิง หลุยส์" กดไปถึง 17 ประตู จาก 11 เกมที่ลงสนามในลีก 

เกียรติประวัติ

ระดับสโมสร


นาซีอองนัล
แชมป์อุรุกวัยพรีเมียร์ดิวิชัน 2005-06


อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม
แชมป์เอเรดิวีซี่ ฮอลแลนด์ 2010-11
แชมป์เคเอ็นวีบี คัพ 2009-10


ลิเวอร์พูล
แชมป์ลีกคัพ 2011-12


ระดับชาติ
ฟุตบอลทีมชาติอุรุกวัย
ฟุตบอลโลก 2010 : อันดับ 4
โคปา อเมริกา 2011 : แชมป์


รางวัลส่วนตัว

ซัวเรซ คว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยม ของ โคปา อเมริกา 2011
เอเรดิวีซี่รองเท้าทองคำ : 2009–10
เคเอ็นวีบี คัพดาวยิงสูงสุด : 2009–10
ผู้เล่นแห่งปีของเอเรดิวีซี่ : 2009–10
ผู้เล่นแห่งปีของอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม : 2008–09
ดาวยิงสูงสุดของอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม : 2008–09,[14]2009–10
โคปา อเมริกา ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำการแข่งขัน : โคปา อเมริกา 201
1

เคยมีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมนักเตะอาชีพ : 2012


 

 

 

 

ADS