ประวัติ เซร์คิโอ อเกวโร่

| 01/01/1970 07:00 น. | 1411 Views

เลิกลุ้นได้เลย! เปเยยัน กุน ไม่ได้มีไว้ขาย

     มานูเอล เปเยกรินี ผู้จัดการทีมชาวชิลีของสโมสร แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เตือนบรรดาสโมสรต่างๆในยุโรปให้เลิกคิดดึงตัว เซร์คิโอ อเกวโร ไปร่วมทีมได้เลย เพราะไม่มีวันปล่อยตัวดาวยิงตัวเก่งรายนี้ออกจากทีมแน่นอน

     อเกวโร ซัดไปแล้วถึง 31 ประตูจากการลงสนามทุกรายการให้ แมนฯซิตี้ ในฤดูกาลนี้ ทำให้มีข่าวว่าเจ้าตัวกำลังได้รับความสนใจจากบรรดาบิ๊กทีมทั่วยุโรป ซึ่งเปเยกรินียืนยันว่าเขาไม่รู้สึกกังวลกับเรื่องนี้ เพราะมั่นใจว่า "เอล กุน" จะไม่ย้ายทีมไปไหนแน่นอน

     "ผมไม่รู้สึกกังวลกับเรื่องนี้เลย เพราะเราไม่ใช่ทีมที่จำเป็นต้องขายนักเตะ และผมก็คิดว่า เซร์คิโอ มีความสุขดีที่นี่ ดังนั้นมันไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่ต้องย้ายทีม เขาไม่ใช่นักเตะที่มีไว้ขาย" เปเยกรินี ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว

ชื่อ : เซร์จิโอ ลีโอเนล อเกวโร่
 
เชื้อชาติ : อาร์เจนติน่า
 
วันเกิด : 2 มิถุนายน 1988
 
อายุ : 25 ปี
 
สถานที่เกิด : เมืองกิลเมส ประเทศอาร์เจนติน่า
 
ส่วนสูง : 172 ซม.
 
ต้นสังกัด : แมนเชสเตอร์ ซิตี้

ตำแหน่ง : กองหน้า

 

     เส้นทางชีวิตของ อเกวโร่ เริ่มต้นกับสโมสรฟุตบอลในบ้านเกิดอย่างอินดิเพนเดียนเต้ และสร้างปรากฏการณ์ด้วยการเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่ได้ลงสนามในลีกฟุตบอลอาร์เจนติน่า ในเกมกับ ซาน ลอเรนโซ่ ด้วยวัยเพียงแค่ 15 ปี กับอีก 35 วัน เมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2003 ที่เป็นที่ฮือฮาก็คือ อเกวโร่ ได้ทำลายสถิตินักฟุตบอลอายุน้อยที่สุดตลอดกาลที่มีเจ้าของเดิมชื่อ ดีเอโก้ อาร์มันโด มาราโดน่า ตำนานเทพเจ้าลูกหนังของชาวอาร์เจนติน่า

     ผลงานของ อเกวโร่ โดดเด่นอย่างมากตลอดระยะเวลา 3 ปีกับ อินดิเพนเดียนเต้ โดยค่อยๆ ปักหลักเป็นกองหน้าตัวหลักของทีม และทำผลงานได้ดีโดยยิงได้ถึง 23 ประตูจากการเล่น 53 นัด แน่นอนว่ารัศมีของ "เอล กุน" ที่เป็นสมญาที่ได้จากการที่เป็นคนชอบอ่านการ์ตูนญี่ปุ่น (กุน ก็คือ "คุง" ในภาษาญี่ปุ่นนั่นเอง) เข้าตาของสโมสรยักษ์ใหญ่ในยุโรปเข้าอย่างจัง

     หนึ่งในสโมสรแรกๆ ที่มีการอ้างถึง อเกวโร่ ก็คือทีม "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล ที่เจ้าตัวเองเคยยอมรับว่าสนใจอยากย้ายมาเล่นในแอนฟิลด์ใจจะขาด แต่สุดท้ายทางด้านราฟาเอล เบนิเตซ นายใหญ่หงส์แดงในเวลานั้น ก็ปฏิเสธข่าวดังกล่าวว่าลิเวอร์พูล ไม่สนใจกองหน้าดาวรุ่งรายนี้ที่คาดว่าจะมีค่าตัวถึงหลัก 10 ล้านปอนด์แต่อย่างใด เมื่อถึงเดือน เม.ย.2006 ก็มีข่าวด่วนว่าเป็น "ตราหมี" แอตเลติโก มาดริด ที่ปฏิบัติการสุดรวดเร็วคว้าตัว อเกวโร่ มาร่วมทีมได้ตัดหน้าทีมอื่นๆ อีกนับสิบที่หวังจะได้กองหน้าพรสรรค์รายนี้เช่นกัน

     แต่ถึงทางด้าน อินดิเพนเดียนเต้ ยังได้ปฏิเสธข่าวนี้ในทีแรก แต่ อเกวโร่ กลับให้สัมภาษณ์ต่อหน้าทีวีในอาร์เจนติน่าว่า "แม้ผมจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่ แต่นี่ก็อาจจะเป็นประตูสุดท้ายของผมและเป็นเกมสุดท้ายของผมกับทีมแล้ว" จากนั้นในวันที่ 30 พ.ค. 2006 ก็มีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการว่า แอตเลติโก มาดริด ได้ตกลงซื้อ อเกวโร่ ไปร่วมทีมโดยไม่มีการเปิดเผยค่าตัว แต่คาดกันว่าจะอยู่ที่ราว 15 ล้านปอนด์ (ราว 750 ล้านบาท) ซึ่งทำให้ อเกวโร่ เป็นนักเตะที่แพงที่สุดของสโมสรไปโดยปริยาย

     อย่างไรก็ตามผลงานในฤดูกาลแรกของ อเกวโร่ ในบิเซนเต้ กัลเดร่อน ไม่สวยงามนัก เมื่อไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสไตล์การเล่นของทีมได้ดีเท่าไหร่ โดยเฉพาะไม่สามารถจับคู่กับกัปตันอย่าง เฟร์นานโด ตอร์เรส ศูนย์หน้าเบอร์หนึ่งของทีมได้ และไม่ใช่แค่ผลงานส่วนตัวไม่เข้าตา ผลงานของทีมก็ไม่เข้าฟอร์มด้วยเหมือนกัน แต่กระนั้น "เอล กุน" ก็ยังสร้างชื่อได้จากการทำประตูที่เหลือเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นลูกยิงในมุมที่เหลือเชื่อในเกมโคป้า เดล เรย์ นัดกับ เลบานเต้ หรือในเกมที่บุกไปยันเสมอกับ บาร์เซโลน่า ได้ถึงคัมป์ นู ที่วิ่งแซง การ์เลส ปูโยล กัปตันบาร์ซ่าเข้าไปรับลูกจ่ายทะลุช่องก่อนยิงผ่าน บิคตอร์ บัลเดส อย่างเหนือชั้น
 
     ต่อมาในฤดูกาล 2007-08 เนื่องจาก เฟร์นานโด ตอร์เรส ได้ย้ายไปร่วมทีม ลิเวอร์พูล ทำให้ อเกวโร่ ต้องกลายเป็นตัวตายตัวแทนและเป็นเสาหลักในแดนหน้าของทีม ด้วยวัยเพียง 19 ปี เท่านั้น ซึ่งเขาก็โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยการกดไปถึง 19 ประตู ช่วยให้ แอตเลติโก มาดริด จบด้วยอันดับที่ 4 และสามารถผ่านเข้าไปเล่นในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี  และในฤดูกาล 2008-09 อเกวโร่ ก็ได้เปลี่ยนคู่หูมาเป็น ดีเอโก้ ฟอร์ลัน ศูนย์หน้าทีมชาติอุรุกวัย และทั้งคู่ก็ประสานงานกันได้อย่างยอดเยี่ยม ยิงประตูกันได้อย่างถล่มทลาย จนทำให้  แอตเลติโก มาดริด จบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 4 อีกครั้ง และผ่านเข้าไปเล่นในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน

     ส่วนในฤดูกาล 2009-10 นับเป็นฤดูกาลที่ดีของ อเกวโร่ เพราะเขาสามารถพาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก มาครองได้สำเร็จ หลังจากตกรอบแบ่งกลุ่มของศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาแข่งในถ้วยนี้ ด้วยเอาชนะ ฟูแล่ม 2-1 ในช่วงต่อเวลา ซึ่งเขาเป็นคนผ่านบอลให้เพื่อนร่วมทีมทำประตูทั้ง 2 ลูก และเขาก็เป็นคนพาทีมเข้าชิงชนะเลิศในศึกโคปา เดล เรย์ แต่น่าเสียดายที่ต้องพ่ายแพ้ต่อ เซบีย่า ไป ต่อมาในวันที่ 27 สิงหาคม 2010 อเกวโร่ พาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ ด้วยการเอาชนะ อินเตอร์ ไป 2-0

      ฤดูกาล 2010-11 เป็นฤดูกาลที่ อเกวโร่ ประสบความสำเร็จมากที่สุดกับ แอตเลติโก มาดริด เมื่อเขายิงได้ถึง 20 ประตูใน ลา ลีก้า ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในชีวิตการค้าแข้งของเขา แต่แล้วในวันที่ 23 พฤษภาคม 2011 อเกวโร่ ได้ประกาศผ่านเวบไซต์อย่างเป็นทางการของตัวเขาว่า เขาต้องการที่จะย้ายออกจากถิ่น บิเซนเต้ กัลเดร่อน และเรียกร้องให้สโมสรปล่อยตัวเขาออกจากทีม จนกระทั่งในวันที่ 28 กรกฏาคม 2011 ก็เป็น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่กระชากตัวเขาไปร่วมทีม ด้วยค่าตัว 38 ล้านปอนด์ (ราว 1,900 ล้านบาท)

     ในฤดูกาล 2011-12 อเกวโร่ ใส่เสื้อเบอร์ 16 ลงสนามให้กับ "เรือใบสีฟ้า" เป็นครั้งแรกในศึกพรีเมียร์ ลีก อังกฤษ นัดที่เอาชนะ สวอนซี 4-0 เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2011 ซึ่งเขาถูกส่งลงมาในฐานะตัวสำรอง และสามารถยิงประตูแรกให้กับสโมสรได้ด้วย หลังจากนั้น เขาก็โชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรงให้กับต้นสังกัดใหม่ โดยยิงได้ถึง 30 ประตู จากการลงสนาม 48 นัด รวมในทุกรายการ ช่วยให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีก ได้เป็นสมัยแรกในรอบ 44 ปี ซึ่งเขาก็เป็นคนซัดประตูชัยในนัดสุดท้ายของฤดูกาล ที่เปิดบ้านเฉือน ควีนส์ปาร์ค 3-2 ในนาทีที่ 94 อีกด้วย

     ต่อมาฤดูกาล 2012-13 อเกวโร่ พาทีม "เรือใบสีฟ้า" คว้าแชมป์คอมมูนิตี้ ชิลด์ ได้สำเร็จ ด้วยการเอาชนะ เชลซี ไป 3-2 ที่สนามวิลล่า ปาร์ค แต่หลังจากนั้นก็ถูกอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่ตลอดทั้งปี ทำให้เขายิงประตูได้แค่ 17 ประตู จาก 40 นัดที่ลงสนาม รวมทุกรายการ และไม่สามารถช่วยต้นสังกัดคว้าแชมป์รายการใดได้สักรายการเดียว ซึ่งช่วงปิดฤดูกาลนั้น มีข่าวลือหนาหูว่า เขาจะย้ายไปอยู่กับ เรอัล มาดริด ยักษ์ใหญ่ของวงการฟุตบอลสเปน แต่ อเกวโร่ ก็ออกมาปฏิเสธและบอกว่า เขามีความสุขดีที่อยู่กับ แมนฯ ซิตี้

     และล่าสุดในฤดูกาล 2013-14 นี้ อเกวโร่ ไม่ได้ลงซ้อมในช่วงปิดฤดูกาลกับสโมสรเลย เนื่องจากอาการบาดเจ็บหัวเข่า แต่เขาก็สามารถเรียกความฟิตกลับมาลงสนามได้ทันในนัดเปิดฤดูกาลและซัดประตูให้กับทีมเอาชนะ นิวคาสเซิ่ล ไป 4-0 ในตอนนี้ อเกวโร่ ลงสนามให้ แมนฯ ซิตี้ ไปแล้ว 8 นัด ยิงได้ 5 ประตู รวมในทุกรายการ 

     สำหรับในนามทีมชาติอาร์เจนติน่า อเกวโร่ สร้างชื่อในฐานะสุดยอดนักเตะดาวรุ่งสายเลือดใหม่ของวงการฟุตบอลโลกในรายการฟุตบอลเยาวชนชิงแชมป์โลกรุ่นอายุต่ำกว่า 20 ปี ที่รุ่นพี่อย่าง ฮาเวียร์ ซาวิโอล่า หรือ ลิโอเนล เมสซี่ เคยสร้างชื่อมาก่อน ในรายการนี้ อเกวโร่ ทำผลงานได้อย่างโดดเด่น และสามารถนำทีม "ฟ้าขาว" คว้าแชมป์ได้โดยเป็นผู้ทำประตูในรอบชิงชนะเลิศไล่ตีเสมอทีมสาธารณรัฐเช็ก ได้ก่อนจะแซงชนะไป 2-1 คว้าแชมป์ไปครองได้อีกสมัย ผลงานดังกล่าวทำให้ อเกวโร่ ได้รับเลือกให้เป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์อย่างไม่ต้องสงสัย และยังคว้ารางวัลลูกฟุตบอลทองคำหรือรางวัลดาวซัลโวไปครองด้วยจำนวน 6 ประตู

     ส่วนในนามทีมชาติชุดใหญ่ อเกวโร่ ลงสนามเป็นนัดแรกในนัดอุ่นเครื่องที่พบกับทีมชาติบราซิล เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2006 ต่อมา เขาก็ติดทีมไปแข่งโอลิมปิก เกม ที่ปักกิ่ง ในปี 2008 และสามารถพาทีมคว้าเหรียญทองมาครองได้สำเร็จ ซึ่งถือเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกันของทีมชาติอาร์เจนติน่า อีกด้วย หลังจากนั้น อเกวโร่ ก็กลายเป็นกำลังสำคัญของทีมชาติอาร์เจนติน่าชุดใหญ่มาโดยตลอด จนถึงตอนนี้ เขารับใช้ทีมชาติไปแล้วทั้งสิ้น 46 นัด ยิงได้ 19 ประตู

     คงไม่มีใครสงสัยในความสามารถของ อเกวโร่ อีกแล้ว เพราะเขาได้แสดงทุกอย่างให้ทุกคนได้เห็นกันแล้ว เหล่าบรรดาสาวก "เรือใบสีฟ้า" ต้องคอยส่งแรงใจแรงเชียร์ให้กับเขากันมากๆ เพราะ "เอล กุน" คนนี้แหละอาจจะเป็นคนที่พา แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ประสบความสำเร็จ คว้าแชมป์รายการต่างๆ มาสู่สโมสรก็เป็นได้


Updated by [G]

ADS