ประวัติ ซามีร์ นาสรี่

| 01/01/1970 07:00 น. | 841 Views

Samir Nasri

     ซามีร์ นาสรี่ กองกลางฝรั่งเศสของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ออกโรงเตือน บาร์เซโลน่า ว่าการเผชิญหน้ากันใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในคืนวันอังคารนี้ ผลการแข่งขันจะไม่เหมือนครั้งที่เคยดวลกันเมื่อฤดูกาลที่แล้วอย่างแน่นอน เพราะทีมมีประสบการณ์มากกว่าเดิม

     "ผมคิดว่าผู้เล่นทุกคนต้องการเล่นเกมใหญ่ๆ แบบนี้ เราต้องการชนะ บาร์เซโลน่า เพราะเราต้องการเข้ารอบไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ได้เกี่ยวกับกับที่เราแพ้เมื่อปีที่แล้วแต่อย่างใด"

     "นี่คือเกมที่แตกต่างไป เรามีสภาพทีมที่ดีกว่าปีที่แล้ว ปีก่อนเรามีปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บ 2-3 คน ในเกมนัดแรก"

     "ทุกสิ่งต่างไปหมดเลย เรามีประสบการณ์มากกว่าเดิมในตอนนี้ ผมคิดว่าเรากลัวพวกเขามากไป เพราะปีก่อนเราไม่มีประสบการณ์ในการแข่งกับทีมระดับนั้น"

     "ด้วยประวัติศาสตร์ของพวกเขา บาร์ซ่า รู้ดีว่าจะเล่นอย่างไร และรู้ว่าทำยังไงถึงจะคว้าถ้วย แชมเปี้ยนส์ ลีก ผมคิดว่าปีนี้มันไม่เหมือนเดิมแน่ เพราะเรารู้แนวทางในการรับมือ เราไม่กลัวพวกเขา เราจะลงเล่นเพื่อชนะ"


ชื่อ : ซามีร์ นาสรี่
สัญชาติ : ฝรั่งเศส
สถานที่เกิด : มาร์กเซย์, ฝรั่งเศส 
วันเกิด : 26/06/1987 (อายุ 26 ปี)
สูง : 178
น้ำหนัก : 75
สโมสร : แมนฯ ซิตี้
ตำแหน่ง : กองกลางตัวรุก

 
นาสรี่ เกิดที่เมืองมาร์กเซย์, ฝรังเศส โดยเจ้าตัวถือสัญชาติฝรั่งเศส แต่มีเชื้อสายแอลจีเรียน ในวัยเด็ก นาสรี่ ใฃ้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเตะฟุตบอลข้างถนน กระทั่งได้มีโอกาสได้ร่วมทีมท้องถิ่น กับต้นสังกัดในบ้านเกิดอย่าง ลา กาโว่ต์ เปเร่ต์ ก่อนจะย้ายไปร่วมทีม เพ็น มาริบู ใกล้ๆกับเมืองมาริบู เมื่ออายุได้ 7 ขวบ จากนั้น นาสรี่ ก็มาเตะตาแมวมองของโอลิมปิก มาร์กเซย์ และได้เข้าสังกัด มาร์กเซย์ อาคาเดมี่ เมื่ออายุ 9 ขวบ
 
ในฤดูกาล 2004-05 เมื่อ นาสรี่ ในวัย 17 ปี โชว์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุก หลังจากศักยภาพที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว ทำให้บรรดาสโมสรในพรีเมียร์ลีก ต่างจ้องมองมาที่ดาวรุ่งอนาคตไกล ไม่ว่าจะเป็น อาร์เซน่อล, เชลซี และ ลิเวอร์พูล รวมถึง นิวคาสเซิ่ล

 
ซีซั่น 2008-09 นาสรี่ ตัดสินใจ ตัดสินใจย้ายมาร่วมทีมกับ อาร์เซน่อล ภายใต้การกุมบังเหียนของ อาร์แซน เวนเกอร์ ด้วยสัญญา 4 ปี ค่าตัวประมาณ 12 ล้านปอนด์ โดยการย้ายทีมครั้งนี้ นาสรี่ ให้เหตุผลว่า เวนเกอร์ คือแรงบันดาลให้เขามาเล่นกับอาร์เซน่อล และดาวเตะวัย 20 ได้สวมเสื้อหมายเลข 8 ก่อนจะได้มีโอกาสลงโชว์ฝีเท้าเป็นเกมแรกในแมตช์อุ่นเครื่อง วันที่ 30 กรกฏาคม 2008 ในนัดที่เจอกับสตุ๊ตการ์ต และก็เป็นอาร์เซน่อล เอาชนะไป 3-1 

 
จากนั้น นาสรี่ ได้ประเดิมศึกพรีเมียร์ลีก ในวันที่ 16 สิงหาคม 2008 เป็นเกมที่เจอกับเวสต์บรอมวิช ซึ่งเจ้าตัวสามารถทำประตูแรกให้กับตัวเองในสีเสื้อ "เดอะ กันเนอร์ส" ในนัดดังกล่าว และก็เป็นประตูชัยพาทีมชนะไป 1-0 นับแต่นั้นมา จอมทัพเฟร้นช์แมนก็กลายเป็นหัวใจในแดนกลาง ทั้งที่อายุแค่ 20 ต้นๆเท่านั้น อย่างไรก็ตาม นาสรี่ เจออาการบาดเจ็บเล่นงานในช่วงเดือนกันยายน ก่อนจะกลับมาได้ในเดือนตุลาคม พร้อมกับทำประตูได้ทันทีในแมตช์ต้อนเอฟเวอร์ตัน 3-1 เท่ากับว่า ในปีแรก นาสรี่ ประสบความสำเร็จอย่างงดงามกับ "ไอ้ปืนใหญ่" หลังจากลงสนามไป 44 เกม ยิงได้ 7 ประตู
 
ฤดูกาล 2009-10 นาสรี เปิดตัวไม่สวยนัก หลังจากขาหักระหว่างซ้อมปรี-ซีซั่น และต้องพักยาวราว 2-3 เดือนทำให้เขาไม่ได้ลงสนามสนามแข่งช่วงโค้งแรกของซีซั่น ส่งผลให้ฟอร์มของกองกลางจอมเทคนิค ไม่สู้ดีนัก และยิงประตูไม่ได้มาเกือบ 2 เดือน ทว่านาสรี่ ก็กลับมาคืนฟอร์มเก่งได้ในช่วงท้ายซีซั่น ด้วยการจ่ายบอลให้เพื่อนำประตูเป็นว่าเล่น และพาอาร์เซน่อลจบอันดับ 3 ของลีก ส่วนผลงานโดยรวมอยู่ที่ ลงเล่น 34 นัด ยิงไป 5 ประตู

 
 ด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยม บวกกับความทะเยอทะยานที่จะคว้าแชมป์ของ นาสรี่ ทำให้เจ้าตัวต้องการหาความท้าทายใหม่ๆ เพราะเริ่มอิ่มตัวกับทีมจากลอนดอน และไม่คิดว่าอาร์เซน่อล จะพัฒนาไปได้ไกลกว่านี้อีกแล้ว กระทั่งเจ้าตัวได้ย้ายมาอยู่กับแมนฯ ซิตี้ อย่างสมใจ ค่าตัวประมาณ 25 ล้านปอนด์ พร้อมกับสัญญายาว 4 ปี โดยเกมแรก นาสรี่ ก็ร่ายมนต์ ทันที ด้วยการจ่ายให้เพื่อนทำประตูถึง 3 ลูก ในเกมถล่มสเปอร์ส 5-1 จากนั้นดาวเตะชื่อดัง กลายเป็นกำลังสำคัญของทีมเรื่อยมา ก่อนจะพา "เรือใบสีฟ้า" เป็นแชมป์ลีกสูงสุด ในวินาทีสุดท้ายที่ "กุน"ทำประตูชัยให้ทีมเฉือน "คิวพีอาร์" 3-2

 
ส่วนในซีซั่นปัจจุบัน นาสรี่ ยังคงโชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรง โดยเบิกประตูแรกประเดิมซีซั่นใหม่ให้กับตัวเอง ในแมตช์เปิดรังทุบแมนฯ ยูไนเต็ด 4-1 จากนั้น นาสรี่ จ่ายให้กับ อเกวโร่ และ เนเกรโด้ ในนัดต้อนซีเอสเคเอ มอสโก 5-2 ในศึกยูซีแอล รอบแบ่งกลุ่ม และพาทีมผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์ ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร ล่าสุด นาสรี่ ปลดล็อกยิงประตูแรกในเกมสุดท้ายของศึกพรีเมียร์ลีก ที่พบกับเวสต์แอม ก่อน "เรือใบสีฟ้า" จะเอาชนะ "ขุนค้อน" 2-0 คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 2013-14 ไปครอง 

ADS