ประวัติ ดีมิตาร์ เบอร์บาตอฟ
ดิมิตาร์ เบอร์บาตอฟ ดาวยิงจอมเก๋าชาวบัลแกเรีย ให้สัมภาษณ์ว่า โมนาโก ทีมของเขากระหายในชัยชนะมากกว่า จึงทำให้ทีมสามารถบุกมาพลิกล๊อกเอาชนะ อาร์เซน่อล ใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จถึงถิ่น เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม
"ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนในผลการแข่งขันวันนี้ แต่เราก็มั่นใจในความสามารถที่มี และสมควรจริงๆ ที่เราชนะ"
"เราเปลี่ยนโอกาสเป็นประตูได้และในที่สุดเราก็ได้ชัยชนะที่ยอดเยี่ยม มันไม่เวอร์ไปหรอก เรายังมีอีกเกมที่บ้านของเรา และ อาร์เซน่อล ก็ยังคงเป็นที่ร้ายกาจเหมือนเดิม"
"เราทำได้ดี อาร์เซน่อล เป็นทีมที่ดีแต่วันนี้อาจเพราะเราต้องการชนะมากกว่าพวกเขา เราสู่ทั่วทั้งสนาม เราเอาชนะความท้าทายและทำประตูได้"
"ทีมอย่าง อาร์เซน่อล ผมไม่คิดว่าพวกเขาประเมินทีมเราไว้ต่ำหรอก แต่ถ้าเป็นอย่างงั้นมันก็เรื่องของพวกเขาแล้วละ"
คงไม่มีใครปฏิเสธว่า ก่อนหน้าที่เขาจะย้ายมาทีม"ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เขาคือหนึ่งในกองหน้าที่เนื้อหอมที่สุดของพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้ เพราะไม่อย่างนั้นทั้ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ เชลซี คงไม่ตามจีบจนท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ต้นสังกัดต้องเอือมระอา
ดีมิตาร์ เบอร์บาตอฟ เกิดขึ้นมาในครอบครัวนักกีฬาอย่างแท้จริง เพราะพ่อของเขาเป็นนักเตะอาชีพในบัลแกเรีย ขณะที่ แม่เป็นนักแฮนด์บอล โดย เบอร์บาตอฟ ได้เริ่มเล่นฟุตบอลในระดับเยาวชนกับทีม ปิริน บลาโกลฟกราด ซึ่งเป็นสโมสรเดียวกับที่พ่อเขาเคยค้าแข้งในอดีต
ด้วยฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นทำให้ ซีเอสเคเอ โซเฟีย ยักษ์ใหญ่ของบัลแกเรีย เซ็นสัญญาคว้าตัวเขามาร่วมทีมในขณะที่มีอายุ 17 ปี ก่อนจะได้ประเดิมสนามในทีมชุดใหญ่ครั้งแรกในฤดูกาล 1998-99 ด้วยวัยเพียง 18 ปี และนับจากนั้นเป็นต้นมา เบอร์บาตอฟ ก็เริ่มสร้างชื่อให้กับตัวเองอย่างรวดเร็วด้วยการทำ 14 ประตู ในการลงสนามในลีก 27 นัด นอกจากนั้น ยังพาทีมคว้าแชมป์บอลถ้วยของบัลแกเรียมาครองด้วย
สถิติทำ 9 ประตูใน 11 เกมในฤดูกาล 2000-01 ทำให้ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ทีมดังของเยอรมัน ตัดสินใจคว้าตัวดาวเตะชาวบัลแกเรียน มาช่วยล่าตาข่ายในเดือน ม.ค. 2001
อย่างไรก็ตาม ช่วงแรกของ เบอร์บาตอฟ กับ "ห้างขายยา" ไม่สวยหรูอย่างที่คิดเนื่องจากเขาทำได้แค่ 16 ประตูในการลงสนาม 67 นัดแรก โดยกว่าที่จะกลายเป็นกองหน้าเบอร์ 1 ของเลเวอร์คูเซ่น ก็ต้องรอจนกระทั่งฤดูกาล 2003-04 ที่เขากดไป 16 ประตู จากการออกสตาร์ทเป็นตัวจริง 24 นัด
2 ฤดูกาลถัดมา เบอร์บาตอฟ เริ่มทำผลงานได้ร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยสอยไปอีก 46 ประตู ซึ่งรวมถึง 5 ประตู ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาล 2004-05 และนั่นทำให้เขาเริ่มกลายเป็นที่สนใจของหลายสโมสรดังในยุโรป
ทว่า สุดท้ายกลายเป็น ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ จากอังกฤษ ที่คว้าตัวรองดาวซัลโวบุนเดสลีก้า ฤดูกาล 2005-06 ไปครองด้วยค่าตัว 16 ล้านยูโร (ราว 800 ล้านบาท) และเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ก.ค. 2006
ประตูแรกของในเกมอย่างเป็นทางการนัดแรกของ เบอร์บาตอฟ กับ สเปอร์ส เกิดขึ้นในเกมพรีเมียร์ชิพที่พบกับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ที่ไวท์ ฮาร์ท เลน นอกจากนั้น การประสานงานที่เข้าขากับ ร็อบบี้ คีน ก็ทำให้ทีม "ไก่เดือยทอง" ทะลุเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศยูฟ่า คัพ ก่อนจะพ่ายให้กับ เซบีย่า ที่กลายเป็นแชมป์ในเวลาต่อมา
เบอร์บาตอฟ จบฤดูกาลแรกกับ สเปอร์ส ด้วยการทำ 12 ประตูในการลงสนามในพรีเมียร์ลีก 33 นัด และช่วยผ่านบอลให้เพื่อนร่วมทีมทำประตูอีก 11 ลูก และฟอร์มการเล่นอันโดดเด่นดังกล่าวก็ทำให้เขาได้รับเลือกให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมแห่งฤดูกาลของทีมไก่เดือยทองด้วย ไม่เพียงเท่านั้น ยังติดทีมยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีกเมื่อวันที่ 21 เม.ย. 2007 ด้วย
ช่วงปิดฤดูกาล 2007 เป็นช่วงที่เบอร์บาตอฟ มีข่าวหนาหูเรื่องการย้ายทีมเป็นอย่างมาก และตัวเต็งที่จะได้ตัวเขาไปก็คือ ทีมผีแดงแมนยู ซึ่งเป็นทีมที่เจ้าตัวเคยเปรยไว้ว่า ปรารถนาที่จะไปร่วมเล่นด้วย และความปรารถนาของเขาก็เป็นจริง เมื่อยอดทีมจากพรีเมียร์ลีก คว้าตัวเขามาร่วมทีม ในสนนราคา 30.75 ล้านปอนด์บวกเฟรเซอร์ แคมป์เบล์ให้ทีมไก่เดือยทองยืมตัว
การลงสนามให้ทีมผีแดงนั้น เบอร์บาตอฟ ไม่ค่อยได้ทำประตูมากนัก (ลง 43 นัด ยิงได้ 14 ประตู) แต่สิ่งที่ทำให้อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เลือกให้เขาเป็นตัวจริงคู่กับรูนีย์ มากกว่าคาร์ลอส เตเบซ นั่นก็คือ การจ่ายบอลให้ยิง(Assis) ของเขาซึ่งเกิดขึ้นประจำเวลาเขาลงสนาม เป็นบทพระรองที่ครองใจแฟนผีทุกๆคน
นอกจากจะโดดเด่นในระดับสโมสรแล้ว ในทีมชาติ เบอร์บาตอฟ ก็ถือว่าเป็นกำลังสำคัญของทีมเช่นกัน โดยหลังจากที่ติดธงครั้งแรกเมื่อปี 1999 แล้วเขาก็ได้รับคัดเลือกให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของบัลแกเรียถึง 3 สมัย ในปี 2002, 2004 และ 2005 พร้อมกับทำหน้าที่กัปตันทีมด้วย
ฤดูกาล 2007-08 เบอร์บาตอฟ ต้องเผชิญหน้ากับข่าวการย้ายทีมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงเปิดตลาดซื้อขายนักเตะรอบ 2 ในเดือนม.ค. 2008 ซึ่งแม้ว่า ฆวนเด้ รามอส กุนซือของทีม จะออกมายืนยันหลายครั้งว่าสเปอร์ส ไม่มีความคิดที่จะขายศูนย์หน้าตัวเก่งรายนี้ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถลดกระแสข่าวลงได้เลย
เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยอดผู้จัดการทีมของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่เคยปิดบังว่าเขาชื่นชอบทักษะและสัญชาตญาณการทำประตูของ เบอร์บาตอฟ มากแค่ไหน แต่ความพยายามที่จะดึงตัวดาวยิงบัลแกเรียน มาร่วมทีมอาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะ เชลซี ทีมเจ้าบุญทุ่มของเมืองผู้ดี ก็พร้อมที่จะประเคนเงินก้อนโตให้ สเปอร์ส ยอมใจอ่อนเช่นกัน
ทว่า ท้ายที่สุดแล้วกองหน้าเนื้อหอมจะเลือกอยู่กับ สเปอร์ส ต่อไป หรือย้ายไปหาความท้าทายใหม่ๆ กับทีมที่มีโอกาสลุ้นแชมป์มากกว่าอย่าง "ปีศาจแดง" หรือ "สิงห์บูลส์" ก็คงต้องติดตามกันต่อไป
ฟูแล่มวันที่ 31 สิงหาคม เบอร์บาตอฟ ตัดสินใจโบกมือลารั้วโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด มาปักหลักยังรังใหม่กับ ฟูแล่ม อริร่วมลีกจากลอนดอน ด้วยสัญญา 2 ปี แต่ไม่มีการเปิดเผยค่าตัวการย้ายทีม โดยเกมประเดิมสนามของเจ้าตัวไม่น่าจดจำนัก เมื่อต้นสังกัดพ่ายต่อเวสต์แฮม 0-3 ซึ่งแมตช์ดังกล่าว "เบิร์บ" ได้ลงสนามในฐานะตัวสำรองเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เบอร์บาตอฟ จัดการซัดประตูแรกให้ต้นสังกัดใหม่ได้ในเกมเปิดบ้านถล่มเวสต์บรอมวิช 3-0 ซึ่งเจ้าตัวกดไป 2 ตุง จากนั้นมา "ดีมี่" กลายเป็นขวัญใจคนใหม่แห่งถิ่นคราเวน ค็อตเทจ ก่อจะพาฟูแล่ม จบอันดับที่ 12 พร้อมกับยิงไปถึง 15 ประตู จาการลงสนาม 33 นัด
ข้อมูลส่วนตัว ชื่อ : ดีมิตาร์ เบอร์บาตอฟ วันเกิด : 30 มกราคม 1981 เกิดที่ : บลาโลฟกราด, บัลแกเรีย ตำแหน่ง : กองหน้า ส่วนสูง : 188 ซม. สโมสรปัจจุบัน : ฟูแล่ม หมายเลขเสื้อ : 9
สโมสรอาชีพ
ปี
สโมสร
ลงเล่น
ประตู
1999 - 2001 ซีเอสเคเอ โซเฟีย 50 25 2001 - 2006 ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น 152 68 2006 - 2008 สเปอร์ส 63 25 2008 - 2012 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 43 14 2012 - ปัจจุบัน ฟูแล่ม 33 15 ประตู
ทีมชาติ
1999 - ปัจจุบัน
บัลแกเรีย 63 39