ประวัติ แฟร้งค์ แลมพาร์ด

| 01/01/1970 07:00 น. | 3233 Views
 
     โรนัลดินโญ่ อดีตดาวเตะทีมชาติบราซิลของ บาร์เซโลน่า เปิดเผยเรื่องราวในอดีตว่าเขาเคยพยายามโน้มน้าว แฟร้งค์ ไรจ์การ์ด กุนซือของทีมบาร์ซ่าในสมัยนั้นให้พยายามซื้อตัว แฟร้งค์ แลมพาร์ด กองกลางจอมลั่นสกอร์ชาวอังกฤษที่กำลังท็อปฟอร์มอยู่กับ เชลซี ในขณะนั้น แต่ดีลนี้ก็ไม่เคยเกิดขึ้น เพราะ แลมพาร์ด ไม่คิดย้ายมาร่วมทีมของเขาแต่อย่างใด

     "ผมบอก แฟร้งค์ ไรจ์การ์ด ว่าเราควรจะเซ็นสัญญาคว้าตัว แลมพาร์ด มาให้ได้ แต่เจ้าตัวไม่ต้องการที่จะย้ายออกมาจาก เชลซี"

     "ผมแน่ใจเลยว่า เชลซี ไม่มียอมปล่อยเขาออกมาจากทีมแน่ ในเวลานั้นเขาคือหนึ่งในนักเตะที่สุดยอดมากของ ยุโรป"

     "สถิติการถล่มประตูทั้งๆ ที่เล่นเป็นมิดฟิลด์มันน่าทึ่งและทำให้ผมประทับใจเขามาก"

 

แฟรงก์ แลมพาร์ด

ข้อมูลส่วนตัว

ชื่อเต็ม :
  แฟรงค์ เจมส์ แลมพาร์ด จูเนียร์
วันเกิด : 20 มิถุนายน ค.ศ. 1978
สถานที่เกิด : ลอนดอน ประเทศอังกฤษ
ส่วนสูง : 1.83 เมตร (6 ฟุต 0 นิ้ว)
ตำแหน่ง : กองกลาง
สโมสรปัจจุบัน : เชลซี (2001-ปัจจุบัน)
หมายเลข : เบอร์ 8
ทีมชาติ : อังกฤษ (1999-ปัจจุบัน)


         แฟรงค์ แลมพาร์ด นักฟุตบอลชาวอังกฤษ ซึ่งปัจจุบัน ค้าแข้งกับ เชลซี ทีมดังในลีกสูงสุดเมืองผู้ดี มีชื่อเต็มว่า “แฟร้งค์ เจมส์ แลมพาร์ด จูเนียร์” เกิดวันที่ 20 มิถุนายน ค.ศ. 1978 ที่ รอมฟอร์ด, ลอนดอน ประเทศ อังกฤษ เป็นบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ซีเนียร์ อดีตตำนานแบ็กซ้ายของทีม "ขุนค้อน" เวสต์แฮม และทีมชาติอังกฤษ และเป็นญาติสนิทกับทางตระกูล "เร้ดแนปป์" อีกหนึ่งในตระกูลดังและมีบทบาทในวงการลูกหนังอังกฤษมานานหลายทศวรรษ

เริ่มต้นชีวิตค้าแข้ง

1994-2001 : เวสต์แฮม ยูไนเต็ด

แลมพาร์ดน้อย เริ่มต้นเส้นทางชีวิตลูกหนังในทีมเวสต์แฮม โดยมีผู้เป็นพ่อซึ่งเวลานั้นเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมของขุนค้อนคอยดูแลประคบประหงมอย่างใกล้ชิด จนมีคนครหาถึงความสามารถที่แท้จริงของเจ้าหนูแลมพาร์ด และกล่าวหาว่าเป็นพวก "เด็กเส้น"

ผลบอล , live score

อย่างไรก็ตาม แลมพาร์ด ก็เป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของทีมเยาวชนเวสต์แฮม ชุดรองแชมป์เอฟเอ ยูธ คัพ ในปี 1996 ที่มีเพื่อนร่วมทีมซึ่งต่อมากลายเป็นกำลังสำคัญให้ทีมชาติอังกฤษทั้งสิ้นอย่างโจ โคล ,ไมเคิล คาร์ริค และริโอ เฟอร์ดินานด์ ส่วนแชมป์เอฟเอ ยูธ คัพ ในปีนั้นก็คือลิเวอร์พูล ชุดที่มีไมเคิล โอเว่น และเจมี่ คาร์ราเกอร์ เป็นกำลังสำคัญนั่นเอง

นอกจากนี้แลมพาร์ด ยังเป็นกัปตันทีมของชุดนั้นด้วย แต่ระหว่างนั้นก็ยังเข้าๆออกๆ ทีมชุดใหญ่ของเวสต์แฮมอยู่นาน และเคยโดนส่งตัวไปสวอนซี ยืมใช้งานอยู่ปีนึงแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่ แถมยังเคยโชคร้ายขาหักในช่วงปี 1997 อีกด้วยจนต้องพักการเล่นไปนาน

แต่เมื่อมาถึงฤดูกาล 1998-99 ก็ถึงคราวที่ดาวจะจรัสแสง เมื่อแลมพาร์ด แจ้งเกิดได้อย่างสวยงามร่วมกับนักเตะขุนค้อนรายอื่นๆและสามารถพาทีมจบฤดูกาลด้วยอันดับ 5 ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ และกลายเป็นที่จับตามองของวงการฟุตบอลอังกฤษ พร้อมๆ กับการลบคำครหาเรื่องเด็กเส้นไปด้วย

ผลบอล , live score

และในปี ฤดูกาล แลมพาร์ด ก็มีส่วนพาทีมเวสต์แฮม ผ่านเข้าไปเล่นยูฟ่าคัพ โดยผ่านการคัดเลือกจากถ้วยอินเตอร์โตโต้คัพด้วย ซึ่งแลมพาร์ดก็ยังเล่นให้ทีมอย่างต่อเนื่อง โดยเขาลงเล่นทั้งสิ้น 34 นัด ทำได้ 7 ประตู และในช่วงเวลานี้เองที่ทำให้แลมพาร์ด ได้รับการเรียกตัวติดทีมชาติอังกฤษเป็นนัดแรกในการเกมอุ่นเครื่องกับทีมชาติเบลเยรี่ยม ในวันที่ 10 ต.ค. 1999 แต่ก็ยังไม่ได้เข้ามาเป็นสมาชิกของทีมสิงโตคำรามเท่าไหร่ เพราะหลังจากนั้นผลงานของเวสต์แฮม ก็ตกต่ำอย่างน่าใจหาย ก่อนที่บรรดาแลมพาร์ด และเพื่อนร่วมรุ่นค่อยๆทยอยย้ายออกไปเรื่อยๆ

แลมพาร์ดเองก็ไม่แตกต่างจากเพื่อนที่โดนทีมใหญ่ซื้อตัวไปร่วมทีม และเป็น "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี ที่ทุ่มเงินกว่า 11 ล้านปอนด์ เพื่อดึงตัวไปร่วมทีมในวันที่ 15 พ.ค. 2001 ซึ่งแลมพาร์ด เป็นหนึ่งในนักเตะชุดแรกๆที่ถูกเคลาดิโอ รานิเอรี่ กุนซือชาวอิตาเลี่ยน ซื้อตัวมาร่วมทีม

2001-ปัจจุบัน : เชลซี

2001-2003 : ยังไม่ฉายแววโดดเด่น

ฤดูกาล 2001-2002 แลมพาร์ด กลายมาเป็นนักเตะของเชลซี โดยเซ็นสัญญาในวันที่ 14 มิถุนายน 2001 ราคาประมาณ 11 ล้านปอนด์และเริ่มต้นชีวิตการค้าแข้งที่ท้าทายใหม่อีกครั้ง โดยเขาลงเล่นเป็นมิดฟิลด์เคียงข้างกับ เอ็มมานูเอล เปอร์ตี ซึ่งถือว่าเป็นคู่กองกลางที่แข่งแกร่งมาก เขาพาทีมเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพในฤดูกาลแรกของทีมสิงโตน้ำเงินคราม แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อนัดชิงพ่ายกับอาร์เซนอล ซึ่งฤดูกาลนี้เองที่อาร์เซนอลคว้าดับเบิ้ลแชมป์เป็นครั้งที่สอง โดยแลมพาร์ดลงเล่นในลีกทั้งสิ้น 37 นัด ทำได้ 5 ประตู และ 1 ประตูจาก 4 เกมในยูฟ่าคัพ ถึงแม้ว่าฤดูกาลนี้เขาจะโชว์ผลงานได้ยอดเยี่ยม แต่ก็ไม่มีชื่อติดทีมชาติไปร่วมฟุตบอลโลก 2002 ที่เกาหลีใต้และญี่ปุ่น

เข้าสู่ 2002-2003 จากความผิดหวังที่ไม่ได้ร่วมทีมไปฟุตบอลโลกทำให้เขาตั้งใจเล่นมากขึ้นกว่าเดิม และพยายามอย่างยิ่งที่จะไปยึดตัวจริงในทีมชาติอังกฤษ ซึ่งเขาก็ทำได้ดีเลยทีเดียวโดยพาทีมคว้าอันดับ 4 ของลีก แย่งตำแหน่งการไปเล่นแชมเปี้ยนลีกให้ทีมได้สำเร็จ โดยฤดูกาลนี้เขาลงเล่นในลีก 38 นัด ทำได้ 6 ประตู และ 1 ประตูจาก 2 เกมในยูฟ่าคัพ จากผลงานที่ดีวันดีคืนของเขาทำให้เขามีโอกาสก้าวขึ้นไปติดทีมชาติบ่อยครั้งขึ้น

อย่างไรก็ดี พัฒนาการของแลมพาร์ด ในทีมเชลซีก็เป็นไปอย่างเชื่องช้าจนแทบจะตกสำรวจในทีมชาติและสายตาของแฟนบอลทั่วไป เนื่องจากเวลานั้นเชลซี มีจอมทัพระดับโลกอย่างจานฟรังโก้ โซล่า นำหน้าอยู่ ทำให้ 2 ปีแรกที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ แลมพาร์ด ไม่ได้มีบทบาทมากนัก

2003-2004 : โชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรง

จนกระทั่งถึงฤดูกาล 2003-04 เชลซี ได้เจ้าของสโมสรใหม่อย่างโรมัน อบราโมวิช เข้ามาเนรมิตทีมใหม่ด้วยเม็ดเงินมากมายมหาศาล และแลมพาร์ด เองก็เริ่มเปล่งประกายออกมาในฐานะแกนหลักในแดนกลางของเชลซีได้สำเร็จ โดยปักหลักเป็นกองกลางจอมทัพที่มีทีเด็ดด้วยการวางบอลยาวที่แม่นยำราวจับวางและการหาจังหวะเติมขึ้นไปยิงประตู

ปีนี้เขาโชว์ฟอร์มได้ดีพอสมควร ทั้งในนามทีมชาติ และกับสโมสรโดยเขาลงเล่นในลีก 38 นัด ทำได้ 10 ประตู และ 4 ประตูจาก 14 เกมในยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก จนส่งผลให้ เขาได้รางวัลอันดับ 2 นักเตะยอดเยี่ยมของ PFA โดยเป็นรอง เธียร์รี่ อองรี นักเตะเวิร์ลคลาสของอาร์เซน่อล จากผลงานที่พาทีม ในฤดูกาลนั้นสิงห์บลูส์ สามารถเข้าถึงรอบรองชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และยังได้รองแชมป์พรีเมียร์ชิพอีกด้วย และแลมพาร์ด ก็เริ่มกลับมามีบทบาทในทีมชาติอีกครั้ง รวมทั้งยังเป็นปีที่เขายังทำประตูในนามทีมชาติเป็นครั้งแรกในนัดกระชับมิตรพบกับโครเอเชีย ในวันที่ 20 สิงหาคม 2003

2004-2005 : แจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัว

แต่ปีที่ถือเป็นการแจ้งเกิดอย่างเป็นทางการในฐานะมิดฟิลด์ชั้นนำของยุโรปคือฤดูกาลถัดมาในปี 2004-05 ที่แลมพาร์ด เป็นกำลังสำคัญในการพาเชลซี ที่ได้ยอดโค้ชอย่างโชเซ่ มูรินโญ่เข้ามาทำทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้ในฤดูกาลนี้ ด้วยตำแหน่งแชมป์คาร์ลิ่ง คัพ และแชมป์พรีเมียร์ชิพ ซึ่งเป็นการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกในรอบ 50 ปีของสโมสร และยังเป็นการคว้าดับเบิ้ลแชมป์ฉลอง 100 ปีของการก่อตั้งสโมสรด้วย

หลังจากนั้นแลมพาร์ด ก็ได้รับการยกย่องในฐานะมิดฟิลด์ชั้นนำของอังกฤษและยุโรป รวมถึงในระดับทีมชาติอังกฤษด้วย ซึ่งบุตรชายของแฟรงค์ แลมพาร์ด ซีเนียร์ ก็ยังพาเชลซี คว้าแชมป์พรีเมียร์ชิพได้เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน จนมูรินโญ่ ผู้เป็นนายยกย่องว่าเป็นนักเตะที่เก่งที่สุดในโลกไปแล้ว

แลมพาร์ด ยังได้รับรางวัลส่วนตัวจากสมาคมผู้สื่อข่าวฟุตบอลอีกหลังทำได้ถึง 19 ประตูในฤดูกาลเดียวจากตำแหน่งกองกลาง และได้รับการยกย่องจากอดีตกัปตันทีมชาติบราซิลอย่างคาร์ลอส อัลแบร์โต้ และ "นักเตะเทวดา" ยอร์ดี้ ครัฟฟ์ ตำนานลูกหนังชาวดัตช์ว่าเป็นหนึ่งในกองกลางที่เก่งที่สุดของยุโรป

2006-2007 : ฟอร์มแผ่วลงไป

หลังฝันร้ายในฟุตบอลโลก แลมพาร์ด ก็ยังกลับมาเป็นคนเดิมไม่ได้ในช่วงต้นฤดูกาล 2006-07 และยังโดนวิจารณ์ต่อเนื่องเพราะฟอร์มดร็อปลงไปจาก 2 ฤดูกาลก่อนมาก แต่ในที่สุด "แลมพ์" ก็ค่อยๆเรียกฟอร์มการเล่นเดิมๆ กลับมาโดยเฉพาะนับตั้งแต่ช่วงปีใหม่เป็นต้นมา แลมพาร์ด ก็กลับมายิงได้ถึง 7 ประตูจาก 8 นัดหลังสุด และได้รับการโหวตจากแฟนๆให้เป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำเดือน ม.ค. พร้อมกันนี้ เขายังสามารถจนสามารถพาทีม คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ได้สำเร็จในช่วงท้ายฤดูกาลนี้อีกด้วย

2007-2008 : กลับมาเป็นแลมพาร์ดคนเดิม

หลังจากผ่านพ้นฤดูกาลที่กระท่อนกระแท่น ในที่สุด แลมพาร์ด ก็กลับมาระเบิดฟอร์มได้อย่างสุดยอดอีกครั้ง ทั้งในเกมกับต้นสังกัด และ ในนาทีมชาติ โดยเขายิงประตูได้อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม อาการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อต้นขา ก็ทำให้เขาต้องพักแข้งไปนานกว่า 10 เกม ก่อนที่จะกลับมาลงเล่นได้อีกครั้งในช่วงเดือน ม.ค. และในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2008 แลมพาร์ด ก็สามารถยิงประตู ที่ 100 และเป็นประตูที่ 101 ให้กับตัวเองในนามทีม “สิงห์บูลส์” อีกด้วย ในเกมรอบที่ 5 ศึกเอฟเอ คัพ ที่ชนะ ฮัดเดอร์ฟิลด์ 3-1 ส่งผลให้เขา เป็นนักเตะเชลซี คนที่ 8 ที่ยิงประตูได้เกิน 100 ลูก ในประวัติศาสตร์ของสโมสร

ในวันที่ 30 เมษายน 2008 แลมพาร์ด ต้องสูญเสียมารดาบังเกิดเกล้าไปอย่างไม่มีวันกลับ แต่เขาก็ยังตัดสินใจที่จะลงเล่นเกมยูฟ่า คัพ รอบก่อนรองชนะเลิศนัดที่ 2 ที่พบกับ ลิเวอร์พูล  ณ สนาม สแตมฟอร์ด บริดจ์ ซึ่งในที่สุด เชลซี ก็เฉือนเอาชนะไปได้ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 4-3 และเข้าไปชิงชนะเลิศ กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ มอสโก แต่เขาก็ไม่สามารถพาทีมคว้าแชมป์ถ้วยสูงสุดของยุโรปได้ ภายหลังแพ้ดวลจุดโทษให้กับทีม “ปีศาจแดง” ไป 5-6 หลังจากในเวลา 90 นาที และช่วงต่อเวลาพิเศษ ทั้งคู่เสมอกัน 1-1

วันที่ 18 สิงหาคม 2008 แลมพาร์ดต่อสัญญากับทีมออกมาอีก 5 ปี เป็นสัญญาที่มีมูลค่า 39.2 ล้านปอนด์ เลยทีเดียว เขาออกสตาร์ทได้สวยโดยการ ซัดไป 5 ลูก ใน 11 นัดแรก และซัดลูกที่ 100 ของตัวเขาเองได้ในนัดที่ถล่ม ซันเดอร์แลนด์ไป 5-0 วันที่ 2 พฤจิกายน 2008 โดย 18 ใน 100 ประตูของเขานั้นเป็นการซัดจุดโทษ แลมพาร์ดได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยม ประจำเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นการได้รางวัลนี้ ครั้งที่สามของเขา แต่พอได้รับรางวัลไปแล้ว เขากลับตีนบอดอยู่ถึง 4-5 นัด ก่อนที่จะมาทำประตูได้อีกทีโดยเป็นการซัด 3 ประตู ใน 2 นัดติดกัน ซึ่งเหยื่อที่โดนก็คือ เวสบรอมวิช และฟูแล่ม โดนเบิ้ลสอง เขาลงสนามนัดที่ 400 ในนัดที่เจอกับสโตก ซึ่งสามารถทำประตูได้ด้วย และก็มาทำ 2 ลูกอีกครั้ง ในแมทช์ที่เจอกับ"หงส์แดง"ลิเวอร์พูล สุดยอดทีมจากเกาะอังกฤษ ในเลกสองของรอบ 4 ทีมสุดท้าย ศึกยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก บวกเพิ่มด้วยจ่ายให้ยิง สองครั้งในนัดที่เจอกับอาร์เซนอล

แลมพาร์ จบฤดูกาลด้วยการซัดไป 12 ประตูในลีก (20 ประตู รวมทุกรายการ)คว้าตำแหน่งนักเตะในใจแฟนๆเชลซีไปครอง ซึ่งลูกสุดท้ายในฤดูกาลที่เขาทำได้ ก็คือนัดที่ซัดในรอบชิงชนะเลิศ เอฟเอคัพ กับเอฟเวอร์ตัน เป็นครั้งที่ 4 แล้วที่เขาทำได้ถึ 20 ลูกในฤดูกาลเดียว และคว้าตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมของทีมเชลซี ไปครองเป็นครั้งที่สาม

สถิติที่น่าสนใจของ แลมพาร์ด

แลมพาร์ด ยิงประตูให้กับ เชลซี ไปแล้วทั้งสิ้น 101 ลูก (ในวันที่ 30 เมษายน 2008) ซึ่งทำให้เขาเป็นนักเตะที่ยิง่ประตูให้กับทีม “สิงห์บูลส์” มากที่สุดในปัจจุบัน และเป็นนักเตะที่ยิงประตูสูงสุด เป็นอันดับ 7 ในประวัติศาสตร์ของสโมสร อย่างไรก็ตาม ลูกยิงของแลมพาร์ด ก็มักถูกวิจารณ์วิจารณ์ว่า ส่วนใหญ่มาจากการยิงแฉลบคู่ต่อสู้

นอกจากนี้แลมพาร์ด ยังเคยเป็นเจ้าของสถิติลงเล่นเป็นตัวจริงต่อเนื่องมากที่สุดในพรีเมียร์ชิพด้วยจำนวนกว่า 164 นัด นั้บตั้งแต่เดือน 13 ตุลาคม 2001 จนถึง 26 พฤศจิกายน 2005 โดยทำลายสถิติเดิมของ เดวิด เจมส์ โกล์ทีมชาติอังกฤษของ ปอร์ธสมัธ ที่ทำไว้ 159 เกม ซึ่งอันที่จริงสถิติอาจจะยืนยาวกว่านั้นถ้าแลมพาร์ด ไม่เกิดป่วยกะทันหันจนลงสนามไม่ไหวเสียก่อน ในวันที่ 28 ธันวาคม 2005

ผลบอล , live score

ในฤดูกาล 2005-2006 แลมพาร์ด ทำสถิติเป็นนักเตะมิดฟิลด์ที่ทำประตูได้มากสุดเป็นอันดับ 2 ในศึกพรีเมียร์ชิพ อังกฤษ รองจาก แม็ธทิว เลอ ทิสเอ ที่เคยทำไว้ 20 ประตู อย่างไรก็ตาม อันดับของเขาก็หล่นไปเป็นที่ 3 ภายหลังจากที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ปีกทีมชาติโปรตุเกส ของแมนฯ ยูไนเต็ด ยิงประตูแซงหน้าหน้าเขาไปได้

แลมพาร์ด เป็นนักเตะมิดฟิลด์ของเชลซี คนแรก ที่ยิงแฮตทริก ได้ทั้งในเกมบอลถ้วยทั้งสองของเกาะอังกฤษ ได้แก่ ทัวร์นาเม้นต์ เอฟเอ คัพ รอบ 3 ที่พบกับ แม็คเคิ่ลฟิลด์ ทาวน์ ฤดูกาล 2006-2007 และ ทัวร์นาเม้นต์ คาร์ลิ่ง คัพ รอบที่ 4 ที่พบกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ฤดูกาล 2007-2008


ทีมชาติอังกฤษ

แลมพาร์ด ติดทีมชาติอังกฤษครั้งแรก ในชุดยู-21 ปี ภายใต้การคุมบังเหียนของ ปีเตอร์ เทย์เลอร์ โดยลงเล่นนัดแรกในวันที่ 13 พฤศจิกายน 1997 ในเกมที่พบกับ กรีซ นอกจากนี้ เขายังเคยมีส่วนร่วมในทัวร์นาเม้นต์ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ยู-21 ในปี 2000 อีกด้วย หลังจากนั้น แลมพาร์ด ก็ก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ได้สำเร็จ ในเดือน ตุลาคม ปี 1999 โดยลงเล่นนัดแรกในเกมอุ่นเครื่องที่พบกับ เบลเยี่ยม ในฐานะตัวสำรอง อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังไม่ถูกเลือกให้ติดทีมชาติอังกฤษ ชุดลุยศึกฟุตบอลยูโร 2000 ที่ประเทศ เบลเยี่ยม และฮอลแลนด์  เช่นเดียวกับ ศึกฟุตบอลโลก ปี 2002 ที่ประเทศ เกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น เป็นเจ้าภาพ

ทว่า ในที่สุด กองกลางสุดหล่อที่ทำผลงานได้ดีอย่างสม่ำเสมอให้กับเชลซี ก็ถูกเลือกให้ติดทีมชาติอังกฤษ ชุดลุยศึกยูโร 2004 ที่ประเทศ โปรตุเกส ซึ่งเขาก็สามารถแจ้งเกิดในเวทีระดับชาติทัวร์นาเม้นต์นี้ ได้สำเร็๗ แม้ว่kแม้อังกฤษ จะไปไม่ถึงดวงดาวร่วงตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยน้ำมือเจ้าภาพโปรตุเกส แต่แลมพาร์ด ก็ได้รับเลือกให้ติดทีมยอดเยี่ยมของศึกยูโรครั้งนี้หลังยิงไป 3 ประตูจาก 4 นัด ดังไม่แพ้เวย์น รูนี่ย์ กองหน้าอัจฉริยะที่แจ้งเกิดได้พร้อมๆ กัน

อย่างไรก็ตาม แลมพาร์ด ต้องเจอกับช่วงเวลาที่เลวร้ายเหมือนกันในช่วงฟุตบอลโลก 2006 ที่ไม่สามารถรีดเร้นฟอร์มสุดยอดออกมาได้เหมือนยามเล่นให้เชลซี และโดนวิจารณ์อย่างรุนแรงโดยเฉพาะเรื่องที่เป็นนักเตะที่มีโอกาสยิงมากที่สุดในทัวร์นาเมนต์แต่กลับยิงไม่ได้แม้แต่ประตูเดียว รวมถึง ในเกมยูโร 2008 รอบคัดเลือก ที่เขายังคงโชว์ฟอร์มได้ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน จนทำให้ถูกแฟนบอลชาวผู้ดีพร้อมใจกันโห่ในเกมที่พบกับ เอสโนเนีย ในวันที่ 13 ตุลาคม 2007 ซึ่งเขาถูกเปลี่ยนลงมาเล่นเป็นสำรอง ก่อนที่เขาจะไม่อาจช่วยให้ อังกฤษ พาเขารอบยูโร 2008 รอบสุดท้าย ที่ประเทศ ออสเตรีย และสวิตเซอร์แลนด์ ได้ในที่สุด

ลับเฉพาะกับ แฟร้งค์ แลมพาร์ด

ผลบอล , live score

 

เรียกได้ว่า แลมพาร์ด เกิดมาในครอบครัวนักฟุตบอลอย่างแท้จริง โดย พ่อของเขา แฟร้งค์ ซีเนียร์ เคยเล่นให้กับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ในตำแหน่ง ฟูลแบ็ก ขณะที่ อาของเขา แฮร์รี่ เร้ดแนปป์ ก็ยังเป็นนักเตะของ เวสต์แฮม รวมถึง ยังเป็นผู้จัดการทีม พอร์ทสมัธ คนปัจจุบัน อีกด้วย ส่วน ลูกพี่ลูกน้องของ แลมพาร์ด อย่าง เจมี่ เร้ดแนมปป์ ซึ่งปัจจุบัน แขวนสตั๊ดไปแล้ว ก็เคยติดทีมชาติอังกฤษ ทั้งสิ้น 17 นัด และยังเคยเล่นฟุตบอลให้กับ เซาธ์แฮมป์ตัน, สเปอร์ส, ลิเวอร์พูล และ บอร์นมัธ มาแล้ว

แลมพาร์ด สูญเสีย มารดา ไปอย่างไม่มีวันกลับในวันที่ 24 เมษายน 2008 เนื่องจากโรคปอด โดยเขาได้ไปพิธีศพของแม่ ในวันที่ 2 พฤษภาคม 2008 ซึ่งนับแต่นั้นเป็นต้นมา เขาก็ตั้งปณิธานว่า ทุกประตูที่เขาทำได้ จะอุทิศให้กับแม่ของเขา ด้วยการชี้นิ้วขึ้นบนฟ้าและมองไปข้างหน้า

ผลบอล , live score

ปัจจุบัน แลมพาร์ด ได้หมั้นกับ อีเลน รีฟส์ แฟนสาว ซึ่งให้กำเนิดบุตรสาวคนแรก ในปี 2003 ซึ่งทั้งคู่ได้ตั้งชื่อให้กับหนูน้อยคนนี้ว่า ลูน่า โคโค่ แพทริเซีย  ก่อนที่ในปี 2007 ทั้งคู่จะได้ลูกสาวมาอีกหนึ่งคน โดยมีชื่อว่า อีสล่า โดยที่แลมพาร์ดได้เปิดเผยว่า กำลังมีแผนที่จะเข้าพิธีวิวาห์กับ อีสร่า อย่างแน่นอน

ปัจจุบัน แลมพาร์ด เป็นเจ้าของรถ แอสตัน มาร์ติน ดีบี9 และ เฟอร์รารี่ 612 สกาเกลีตติ รวมทั้งยังเลี้ยงสุนัขพันธุ์เฟร้นช์ มาสติฟฟ์ส ไว้ 2 ตัว โดยให้ชื่อว่า Daphne และ Rocco ส่วนในประเด็นทางการเมืองนั้น แลมพาร์ด เคยออกมาระบุว่า ตัวเองสนับสนุนพรรคอนุรักษ์นิยม ของอังกฤษ อีกด้วย


เกียรติประวัติ

สโมสร

เวสต์แฮม ยูไนเต็ด
อินเตอร์ โตโต้ คัพ : แชมป์ (1999)


เชลซี
พรีเมียร์ลีก : แชมป์ (2005, 2006), รองแชมป์ (2004,2007,2008)

เอฟเอคัพ : แชมป์ (2007, 2009), รองแชมป์ (2002)
ลีกคัพ : แชมป์ (2005, 2007), รองแชมป์ 2008
คอมมิวนิตี้ ชิลด์ : แชมป์ (2005), รองแชมป์ (2006,2007)
ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก : รองแชมป์ (2008)

ส่วนตัว 

นักฟุตบอลอังกฤษยอดเยี่ยมจากการโหวตของแฟนบอล : 2004,2005,2009
นักฟุตบอลอาชีพยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ : 2005, 2005
นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษ ปี 2005
ติดทีมยอดเยี่ยมฟุตบอลโลกของฟีฟ่า : 2005

 

 

ADS