ประวัติ มาร์ติน สเคอร์เทล
มาร์ติน สเคอร์เทล ยืนยันว่าเขาไม่รู้สึกผิดในเหตุการณ์ที่ไปย่ำใส่ ดาบิด เด เกอา จนทำให้ถูกแบนถึง 3 นัด
กองหลังวัย 30 ปี ยังคงยืนกรานความบริสุทธิ์ของเขาต่อไปหลังมีการออกมายืนยันโทษแบนอย่างเป็นทางการ นั่นทำให้เขาต้องพลาดแมตช์การแข่งขันในลีกกับ อาร์เซนอล และนิวคาสเซิล บวกกับเอฟเอ คัพ นัดรีเพลย์กับแบล็คเบิร์น
"มันรู้สึกแปลกๆนะที่เรายื่นอุทธรณ์ และผมยังคงถูกตัดสินให้โดนแบน 3 นัด" สเคอร์เทลให้สัมภาษณ์ลงบนเว็บไซต์ส่วนตัวของเขา martin-skrtel.com
"ผมไม่ได้ต้องการจะย่ำเขา มันเป็นอุบัติเหตุ และผมทำไปโดยไม่ได้เจตนา ผมไม่รู้สึกผิดเลย"
"มันเป็นบอลยาวและเขามาอยู่ตรงหน้าผม และผมก็จะกระโดดข้ามตัวเขาไป มันง่ายๆแค่นั้นเอง"
ชื่อ : มาร์ติน สเคอร์เทล
สัญชาติ : เช็คโกสโลวาเกีย
วันเกิด : 15 ธันวาคม 1984
อายุ : 30 ปี
สถานที่เกิด : แฮนด์โลว่า , เช็คโกสโลวาเกีย
ตำแหน่ง : กองหลัง
สโมสร : ลิเวอร์พูลประวัติ
มาร์ติน สเคอร์เทล เริ่มเล่นฟุตบอลอาชีพกับสโมสร เอเอส เทรนซิน ในปี 2001 ซึ่งเขาก็เริ่มเล่นในตำแหน่ง เซนเตอร์ฮาล์ฟ ตามที่เขาถนัดในทันทีโดยเขาอยู่ที่ทั้งหมด 3 ได้โอกาสลงสนาม 44 นัดและยิงไปได้ 8 ประตู จนกระทั่งปี 2004 หลายต่อหลายทีมในยุโรปก็ได้เริ่มให้ความสนใจในตัวเขา
สโมสร เซนิตฯ (2004-2008)
สเคอร์เทล ประเดิมสนามเกมแรกให้กับทางด้าน เซนิตฯ ในศึก รัสเซีย คัพ เมื่อ 31 กรกฎาคม 2004 ซึ่งเจ้าตัวก็ได้ยอมรับเลยว่านักเตะ สโลวาเกีย และ เช็ค มีส่วนสำคัญจริงๆในการช่วยให้เขาพัฒนาจนได้ย้ายมาอยู่ทีมใหม่แห่งนี้ โดยขณะอยู่กับ เซนิตฯ เขาลงเล่นไปทั้งหมด 74 เกม และยิงไปได้ทั้งหมด 3 ประตู พา เซนิตฯ คว้าแชมป์ฟุตบอลลีกรัสเซียได้สำเร็จในฤดูกาล 2007 ซึ่งหลังจากจบฤดูกาล มาร์ติน ตกเป็นที่ต้องการของหลายต่อหลายสโมสรชื่อดังในยุโรปไม่ว่าจะเป็น บาเลนเซีย , สเปอร์ , เอฟเวอร์ตัน และ นิวคาสเซิ่ล แต่ทว่าอยู่ดีๆก็เกิดเรื่องเซอร์ไพรส์เมื่อ สโมสรที่มากไปด้วยประวัติศาสตร์อย่าง ลิเวอร์พูล ปิดฉากคว้าตัว สเคอร์เทล ไปร่วมทีมได้สำเร็จเมื่อ มกราคม 2008
สโมสร ลิเวอร์พูล (2008-ปัจจุบัน)
11 มกราคม 2008 สเคอร์เทล ตัดสินใจเซ้นสัญญากับ ''หงส์แดง'' ลิเวอร์พูลด้วยสัญญา 4 ปีครึ่ง ค่าตัว 6.5 ล้านปอนด์ โดยในตอนนั้นเป็นกุนซือชาวสเปนอย่าง ราฟาเอล เบนิเตซ ที่ดึงปราการหลังรายนี้เข้ามาร่วมทีม โดยกุนซือ ''สมองเพรช'' โดยพูดถึงความสามารถของ สเคอร์เทล ว่า ''เขาเป็นนักเตะที่เล่นลูกกลางอากาศได้ดีและมีความเร็วซึ่งนี่จะทำให้ทีมที่มีนักเตะแบบเขาอยู่ในทีมรู้สึกปลอดภัยมากขึ้นในเกมรับ'' มาร์ติน สเคอร์เทล ลงสนามนัดแรกให้กับ ลิเวอร์พูล ในเกมลีกกับ แอสตัน วิลล่า และได้รับเสื้อเบอร์ 37 ซึ่ง หลังจบเกม เบนิเตซ ทิ้งท้ายถึงปราการหลังรายนี้อีกว่าจะกลายมาเป็นตำนานตัวตายตัวแทนของ เจมี่ คาร์ราเกอร์ ได้อย่างแน่นอน
26 มกราคม 2008 สเคอร์เทล สามารถทำประตูแรกในสีเสื้อของ ''หงส์แดง'' ลิเวอร์พูล ได้สำเร็จในเกม เอฟเอ คัพ รอบสี่ ที่พบกับ ฮาแวนท์ แอนด์ วอเตอร์ลูวิลล์ โดยเขาขึ้นมาทำประตูได้ในจังหวะลูกเตะมุม ซึ่งเขาเองสามารถเป็นที่ชื่นชอบของเหล่า ''เดอะค็อป'' ได้อย่างรวดเร็วด้วยฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยม ในเกมที่พบกับ เชลซี ในลีก มาร์ติน ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม จนได้รับตำแหน่ง แมนออฟเดอะแมตช์ ในเกมนี้ไปครอง
ฤดูกาล 2008-2009 ช่วงต้นฤดูกาล สเคอร์เทล ตกเป็นเพียงตัวสำรองของ ดาเนียล แอ็กเกอร์ เท่านั้น แต่ทว่าพอเมื่อเข้าสู่ช่วงแมตช์สำคัญๆก็กลายมาเป็น สเคอร์เทล ที่ได้กลับมายืนจับคู่กับ คาร์ราเกอร์ อีกครั้งในเกมรับ ซึ่งเขาก็สามารถทำผลงานได้ดีตลอดสำหรับเกมใหญ่ไม่ว่าจะเป็นการพบกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หรือในถ้วยยุโรป ทว่า 5 ตุลาคม 2008 สเคอร์เทล ได้รับอาการบาดเจ็บในเกมที่พบกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำให้เจ้าตัวต้องพักรักษาอาการบาดเจ็บนานถึง 8 สัปดาห์ด้วยกัน 28 ธันวาคม 2008 สเคอร์เทล หายเจ็บกลับมาลงสนามได้อีกครั้งซึ่งถูกส่งลงมาเป็นตัวสำรองในเกมที่พบกับ นิวคาสเซิ่ล โดยเกมนั้น ลิเวอร์พูล เอาชนะ ''สาลิกาดง'' ไปได้ 5-1 และจบฤดูกาลด้วยตำแหน่งรองแชมป์โดยเก็บแต้มไปได้ทั้งหมด 86 คะแนน
ฤดูกาล 2009-2010 สเคอร์เทล ทำประตูแรกในลีกให้กับทีมจนได้ ในเกมที่ ลิเวอร์พูล เสมอกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไป 2-2 ด้วยการรักษาฟอร์มการเล่นได้คงเส้นคงวาของเขาทำให้ฤดูกาลนี้ ทีมดังแห่งย่านเมอร์ซี่ย์ไซด์ตัดสินใจขยายสัญญาของเขาออกไปอีก 2 ปี ซึ่งทำให้สัญญาจะหมดลงในปี 2014 เลยทีเดียว
ฤดูกาล 2010-2011 มาร์ติน สเคอร์เทล กลายเป็นนักเตะที่ลงเล่นครบทุกนาทีและทุกนัดให้กับทีมในศึก พรีเมียร์ลีก โดยในฤดูกาลนี้เขาสามารถโชว์เหมาคนเดียว 2 ประตูได้ด้วยในเกมที่บุกไปเยือน ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ แถมในฤดูกาลนี้ สเคอร์เทล ยังได้สวมปลอกแขนกับตันทีม ''หงส์แดง'' เป็นครั้งแรกในศึก ยูโรป้า ลีก กับ อูเทรช อีกด้วย
ฤดูกาล 2011-2012 เกมนัดแรกของศึก พรีเมียร์ลีก เริ่มขึ้น สเคอร์เทล โชว์ทำประตูแรกได้ในทันทีพาทีมไล่อัด โบลตัน ไปได้แบบสบายๆ ทว่า 18 กันยายน ใบแดงครั้งแรกในสีเสื้อ ''แดงเพลิง'' ก็เกิดขึ้นเมื่อเขาโดนไล่ออกในเกมที่พบกับ สเปอร์ ทำให้ทีมแพ้ไปแบบย่อยยับถึง 0-4 วันที่ 10 เมษายน 2012 มาร์ติน สเคอร์เทล สวมปลอกแขนกัปตันทีมลงเล่นในเกมลีกเป็นครั้งแรกโดยสามารถนำลูกทีมเอาชนะ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ไปได้ 3-2 โดยในเกมนี้เขาโชว์ทั้ง ยิงประตูและแอสซิสต์ และเป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญที่พา ลิเวอร์พูล ทะลุเข้าไปถึงนัดชิงชนะเลิศของศึก เอฟเอ คัพ แต่ทว่าก็พลาดท่าแพ้ให้กับ เชลซี ไปที่ เวมบลี่ย์ ฤดูกาลนี้ สเคอร์เทล ถูกโหวตจากแฟนบอล ลิเวอร์พูล ให้รับรางวัล นักเตะยอดเยี่ยมประจำสโมสรในฤดูกาลนี้
ฤดูกาล 2012-2013 หลังกุนซือ เคนนี่ ดัลกริช ถูกปลดออกไปและเป็น แบรนแดน ร็อดเจอร์ส เข้ามารับช่วงต่อ สเคอร์เทล ก็ส่อแววจะหมดอนาคตกับทีมไปเสียแล้วเพราะในฤดูกาลนี้เจ้าตัวฟอร์มดรอปลงไปอย่างน่าใจหาย เล่นผิดพลาดในหลายๆเกมจนทำให้ข่าวในการต่อสัญญากับทีมเริ่มส่อแววว่าจะไม่เกิดขึ้น หลายต่อหลายเกม มาร์ติน เริ่มถูกดรอปให้ไปนั่งชมเกมเพียงบนม้านั่งสำรองเท่านั้น ซึ่งเจ้าตัวก็ได้ออกมาบ่นกับสื่ออยู่ตลอดเวลาว่าเขาต้องการลงเล่น ยิ่งทำให้ข่าวการย้ายตัวของปราการหลังรายนี้เริ่มชัดเจนขึ้นไปทุกที
ฤดูกาล 2013-2014 ลิเวอร์พูล ยังคงไว้ใจในตัว มาร์ติน เมื่อมีรายงานว่า ''หงส์แดง'' ปฏิเสธข้อเสนอเป็นจำนวน 10 ล้านปอนด์ จาก นาโปลี ที่อยากจะคว้าตัวปราการหลังรายนี้ไปร่วมทัพ โดยเจ้านายเก่าของเขาที่ปลุกปั้นขึ้นมากับมืออย่าง เบนิเตซ ยอมรับว่าอยากได้ สเคอร์เทล กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งเป็นอย่างมาก แต่ว่าทาง ลิเวอร์พูล ยังไม่ยอมปล่อยออกมาง่ายๆและต้องการทำให้ สเคอร์เทล เค้นฟอร์มเก่งกลับมาให้ได้อีกครั้ง และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆเมื่อฤดูกาลนี้ มาร์ติน สเคอร์เทล กลับมาอยู่ในฟอร์มที่ยอดเยี่ยมอีกครั้งมีส่วนช่วยให้ ลิเวอร์พูล เก็บคลีนชีตได้สำเร็จในเกมที่เอาชนะ แมนฯยู ไปได้ 1-0 วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2014 น่าจะเป็นเกมที่ สเคอร์เทล คงจำไปตลอดชีวิต เมื่อเขาโชว์เหมาคนเดียว 2 ประตูตั้งแต่ 10 นาทีแรกของเกมในเกมที่พบกับ อาร์เซน่อล ช่วยให้ ''หงส์แดง'' เอาชนะ ''ไอ้ปืนใหญ่'' ไปได้ 5-1 โดยฤดูกาลนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งฤดูกาลที่ใกล้เคียงที่สุดสำหรับ ลิเวอร์พูล ในการคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ให้ได้เป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์สโมสรซึ่งนักเตะหลายๆคนคงผิดหวังที่ท้ายที่สุดแล้วไม่ได้แชมป์มาครองแต่แน่นอนว่าทุกคนในทีมก็คงมิอาจลืมฤดูกาลนี้ได้เป็นแน่
ฤดูกาล 2014-2015 สเคอร์เทล สวมปลอกแขนกัปตันทีมพา ลิเวอร์พูล กลับมาลงเล่นในเกม แชมป์เปี้ยนส์ลีก อีกครั้งด้วยการพบกับ เรอัล มาดริด ซึ่งผลก็จบลงไปแบบที่ ลิเวอร์พูล ต่อกรกับทีมดังจาก สเปน ไม่ไหวจริงๆ ฤดูกาลนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่ มาร์ติน สเคอร์เทล ที่ฟอร์มดรอปลงไปมันรวมไปถึงนักเตะในทีม ลิเวอร์พูล ทุกคนที่นัดกันฟอร์มตกทำให้ทีมอาจจะหมดสิทธิ์ไปเตะ แชมป์เปี้ยนส์ลีก อีกครั้งในฤดูกาลหน้า แถมเกมนัดล่าสุดเจ้าตัวก็เพิ่งคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่หลังจากกำลังจะแพ้ต่อคู่ปรับตลอดกาลอย่าง แมนฯยู ในช่วงท้ายเกม สเคอร์เทล ดันไปย่ำใส่ เดวิด ดาเกียอา แบบดื้อๆทำให้ทางเอฟเอตัดสินใจแบนเจ้าตัวเป็นจำนวน 3 นัดเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้ สเคอร์เทล ลงเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล ไปแล้วทั้งหมด 214 นัด และยิงไปได้ทั้งหมด 15 ประตู
ฤดูกาล 2015-2016 เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2015 สเคอร์เทล ได้รับสัญญาฉบับใหม่จาก ลิเวอร์พูล และในเกมลีกคัพเมื่อ 23 กันยายน 2015 สเคอร์เทล ลงเล่นนัดที่ 300 ในสีเสื้อ ''แดงเพลิง'' ซึ่งเขาก็เป็นคนหนึ่งในการดวลจุดโทษที่ช่วยให้ ''หงส์แดง'' เอาชนะ คาร์ไลส์ ผ่านเข้าสู่รอบต่อไปได้สำเร็จ 21 พฤศจิกายน 2015 เขาสามารถยิงประตูแรกในฤดูกาลนี้ได้สำเร็จ ในเกมที่ ลิเวอร์พูล บุกอัด แมนฯซิตี้ 4-1 ด้วยการวอลเลย์แบบเต็มแรงหน้ากรอบเขตโทษ ซึ่งถือเป็นการครบรอบ 6 ปีเต็มพอดีที่เจ้าตัวเคยยิง แมนฯซิตี้ เอาไว้
6 ธันวาคม 2015 สเคอร์เทล ทำสถิติเทียบเท่ารุ่นพี่อย่าง เจมี่ คาร์ราเกอร์ ซึ่งเป็นอันดับ 2 ตลอดกาลของ พรีเมียร์ลีก ในการทำเข้าประตูตัวเอง 7 ลูก โดยมันเกิดขึ้นในเกมที่ ลิเวอร์พูล พบกับ นิวคาสเซิ่ล จนกระทั่ง 20 ธันวาคม ถือว่าเป็นฝันร้ายทั้งของเจ้าตัวและ ''เดอะ ค็อป'' ทั่วโลกหลัง สเคอร์เทล ได้รับอาการบาดเจ็บจนต้องพักยาวถึง 6 สัปดาห์ด้วยกัน ซึ่งมันเกิดขึ้นในช่วงที่ ลิเวอร์พูล กำลังขาดแคลนผู้เล่นในตำแหน่งเกมรับอีกด้วยทีมชาติ สโลวาเกีย
สเคอร์เทล ติดทีมชาติตั้งแต่ชุดเยาวชน และถูกดันขึ้นชุดใหญ่ในปี 2004 ซึ่งเขาก็กลายเป็นกำลังหลักให้กับทีมมาโดยตลอดและได้ลงเล่นในศึก ฟุตบอลโลก 2010 ด้วย และสามารถทำผลงานได้ดีพาทีมผ่านเข้าไปเล่นถึงรอบ 16 ทีมสุดท้ายแต่ทว่าก็ต้องจอดอยู่แค่รอบนี้เมื่อแพ้ให้กับ เนเธอร์แลนด์
มาร์ติน สเคอร์เทล ได้สวมปลอกแขนกัปตันทีมให้กับทีมชาติ สโลวาเกีย ในการลุยศึก ยูโร 2016 รอบคัดเลือก และสามารถพา สโลวาเกีย ไปเล่นรอบสุดท้ายที่ ฝรั่งเศส ได้สำเร็จ
เกียรติประวัติ
- ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำสโมสร ลิเวอร์พูล : 2012
- นักเตะยอดเยี่ยมของ สโลวาเกีย : 2007 , 2008 , 2011 , 2012