ประวัติ โมฮาเหม็ด ซาลาห์
ชื่อเต็ม : โมฮาเหม็ด ซาลาห์
วันเกิด: 15 มิถุนายน ค.ศ. 1992 (25 ปี)
เกิดที่ : บาสยูน, ประเทศอียิปต์
สัญชาติ : อียิปต์
ส่วนสูง : 175 เซนติเมตร
ตำแหน่ง : กองหน้า
ประวัติส่วนตัว
ซาลาห์ เริ่มเล่นฟุตบอลครั้งแรกให้กับชุดเยาวชนของ เอล โมคารูน ทีมในลีกของอียิปต์ก่อนที่เจ้าตัวจะแสดงศักยภาพออกมาเรื่อยๆจนไปเตะตาแมวมองของทีม บาเซิ่ล ยอดทีมในศึกสวิตเซอร์แลนด์หลังจากนั้นเจ้าตัวก็โชว์ได้สะเด่าซะเหลือเกินจนย้ายไปอยู่หลายลีกหลายทีมด้วยกันและตอนนี้ ซาลาห์ ได้กลายเป็นแข้งคนสำคัญของสาวก "เดอะ ค็อป" ลิเวอร์พูล สโมสรยักษ์ใหญ่ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เอล โมคารูน (2006/2012)
หลังจาก ซาลาห์ บ่มเพาะฝีมือกับทีมชุดเยาวชนของเอล โมคารูน อยู่ถึง 4 ปีในที่สุดโอกาสในการโลดแล่นบนลีกสูงสุดก็มาถึงเมื่อเขาได้ลงประเดิมสนามในวันนี้ 3 มิถุนายน 2010 โดยลงมาเป็นสำรองในเกมที่เจ๊ากับ เอล มันซูร่า 1-1 ซึ่งจากการลงสนามในเกมวันนั้นเจ้าตัวก็ได้รับโอกาสในการลงสนามมากขึ้นเรื่อยๆจนในที่สุดเจ้าตัวก็ปลดล็อคซัดประตูแรกในเกมลีกได้สำเร็จ
ในฤดูกาล 2011-2012 หลังจากได้รับความไว้วางใจให้ลงสนามเป็นตัวจริงและกำลังโชว์ฟอร์มได้อย่างสะเด่าแต่สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อมีการก่อเหตุทะเลาะวิวาทครั้งใหญ่จนเป็นผลให้มีผู้เสียชีวิตถึง 74 รายและบาดเจ็บระนาวถึง 500 จึงส่งผลให้สมาคมฟุตบอลอียิปต์ตัดสินใจยกเลิกการแข่งขันทีงหมดในซีซั่นนั่นเอง
บาเซิ่ล (2012/13)
หลังจากเกิดเหตุโศกนาฏกรรมดังกล่าวสิ้นสุดลงก็ได้มีทีมจากศึกสวิต ซูเปอร์ลีก อย่าง บาเซิ่ล ได้เดินทางมาเตะอุ่นเครื่องกับทีมชาติอียิปต์ ชุดยู-23 ซึ่งประจวบเหมาะกับ ซาลาห์ มีชื่ออยู่ในชุดนี้ด้วยโดยเจ้าตัวได้โอกาสลงเล่นในช่วงครึ่งหลังและโชว์ฟอร์มเทพเหมาคนเดียวไปถึงสองเม็ดซึ่งเกมนั้นจบลงที่ อียิปต์ ชุดยู-23 เอาชนะไปได้แบบสุดมัน 4-3 และหลังจากจบเกมดังกล่าวทางสบอร์ดบริหารของบาเซิ่ล ไม่รอช้ารีบคว้าตัวเพชรเม็ดงามรายนี้เข้าสู่ทีมทันทีและประกาศคว้าตัวในวันที่ 10 เมษยน 2012 ด้วยการเซ็นสัญญาระยะยาวถึง 4 ปีด้วยกัน
23 มิถุนายน 2012 เบิกสกอร์แรกให้กับตัวเองในช่วงทัวร์ปรีซีซั่นด้วยการยิงประตูใส่สเตอัว บูคาเรสต์ นั่นเอง ซึ่งเกมอย่างเป็นทางการสำหรับปีกตัวจี๊ดสัญชาติอียิปต์ก็คือการลงประเดิมในถ้วยหูใหญ่อย่างศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก รอบคัดเลือกในการพบกับโมลด์ ตัวแทนจากลีกนอร์เวย์ซึ่งลงมาในฐานะตัวสำรอง หลังจากนั่นเจ้าตัวก็ได้รับโอกาสลงสนามมากขึ้นเรื่อยๆเหมือนตอนที่เล่นอยู่ในประเทศบ้านเกิด ด้วยเกรดทีมที่ยังต่อกรใครไม่ได้จึงส่งผลให้พวกเขาตกรอบในบอลยุโรปด้วยการพ่ายต่อเชลซี ไปด้วยสกอร์รวม 2-5 ส่วนผลงานในลีกยังคงเป็นที่หนึ่งในดวงใจเสมอเพราะว่าพวกเขาคว้าตำแหน่งแชมป์ลีกมาครองได้นั่นเอง
ฤดูกาล 2013/14
ซาลาห์ เริ่มต้นซีซั่นใหม่ด้วยคว้าแชมป์อูเรน คัพ ซึ่งเป็นการพบกันของแชมป์ลีกและแชมป์บอลถ้วยนั่นเอง ผลงานส่วนตัวของ ซาลาห์ ในฤดูกาลใหม่นี้ค่อนข้างดีเนื่องจากเจ้าตัวยิงประตูใส่ทีมในลีกได้แล้วยังผลิตสกอร์ในถ้วยยุโรปได้อย่างต่อเนื่องแต่ดันมีปัญหาในการไปเยือน มัคคาบี้ เทล อาวีฟ ทีมจากอิสราเอลที่ ซาลาห์ ดันไม่ได้จับมือกับผู้เล่นเจ้าบ้านเนื่องจากช่วงนั้นมีปัญหาเรื่องเชื้อชาติมาเกี่ยวข้องด้วยจน ซาลาห์ ถูกจับตามองเป็นพิเศษก่อนที่ต้นสังกัดอย่าง บาเซิ่ล ต้องเรียกตัวมาปรับความเข้าใจแต่ท้ายที่สุดปัญหาเรื่องนี้ก็จบลงด้วยดี
ซึ่งผลงานเด่นๆสำหรับ ซาลาห์ ดันเป็นในถ้วยแชมเปี้ยนส์ ลีก ที่โชว์ฟอร์มเข้าตายักษ์ใหญ่ของยุโรปและกลายเป็นเชลซี ยอดทีมจากศึกพรีเมียร์ ลีก ที่จ้องจะฉกดาวเตะอียิปต์ไปร่วมทีม
เชลซี (2013/14)
26 มกราคม 2014 "สิงห์บลูส์" เชลซี ได้ทำการประกาศอย่างเป็นทางการว่าพวกเขาปิดดีล ซาลาห์ เป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วยค่าตัวประมาณ 11 ล้านปอนด์ (ประมาณ 478 ล้านบาท) และนับว่า ซาลาห์ เป็นนักเตะอียิป์คนแรกที่ย้ายมาร่วมทีมเชลซี โดยลงประเดิมนัดแรกในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2014 ในเกมที่เอาชนะนิวคาสเซิ่ลไปแบบขาดลอย 3-0 ก่อนที่เจ้าตัวจะปลดล็อคยิงประตูแรกได้ด้วยการลงมาเป็นสำรองแทนที่ของออสการ์ ในศึก "ลอนดอน ดาร์บี้แมตช์" ที่เอาชนะอาร์เซน่อล ไปแบบขาดลอย 6-0 ซึ่งถือว่าเป็นการประเดิมในศึกพรีเมียร์ ลีก ได้ไม่เลวเลยทีเดียว
ฤดูกาล (2014/15)
ก่อนเริ่มซีซั่น ซาลาห์ มีปัญหาส่วนตัวเกี่ยวกับเรื่องทางการทหารจนเจ้าตัวต้องกลับบ้านเกิด จนส่งผลให้ดาวเตะรายนี้โอกาสลงสนามน้อยมากๆบวกกับการมาของ เอแด็น อาซาร์ ปีกตัวตัวจี๊ดยิ่งทำให้หนทางการลงสนามของ ซาลาห์ น้อยลงไปอีกจนท้ายที่สุดเจ้าตัวทนสำรองต่อไม่ไหวต้องเก็บของย้ายไปย้ายไปอยู่ ฟิออเรนติน่า ทีมจากศึกเซเรีย อา ด้วยสัญญายืมตัวนั่นเอง ซึ่งหลังจากย้ายไปอยู่ในประเทศอิตาลีเจ้าตัวก็ได้โอกาสลงสนามมากขึ้นและเจ้าตัวขอเลือกหมายเลข 74 เพื่อเป็นการรำลึกถึงผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าว
14 กุมภาพันธ์ ลงประนัดแรกให้กับฟิออเรนติน่าและระเบิดฟอร์มซัดประตูแรกได้ทันทีและจัดการผลิตอีกหนึ่งแอสชิสต์ช่วยพาทีมคว้าชัยเหนือ ซัสซัวโล่ ไปแบบสบายๆ 3-1 หลังจากจากนั้น 12 วันก็ได้ลงประเดิมในศึกยูโรป้า ลีก ทันทีและช่วยทีมล้ม สเปอร์ส ทีมจากอังกฤษไปได้ด้วยสกอร์รวม 3-1 และยังเป็นคีย์แมนพาทีมเข้าวินเหนือทั้งอินเตอร์และยูเวนตุส อีกด้วย แต่หลังจากจบฤดูกาล "ม่วงมหากาฬ" พยายามจะเซ็นสัญญาแบบถาวรแต่เจ้าตัวเลือกปฎิเสธและตัดสินใจย้ายซบ โรม่า คู่แข่งร่วมลีกซะอย่างงั้น
โรม่า (2015/16)
ย้ายซบ "หมาป่าเหลือง-แดง" โรม่า ด้วยเม็ดเงินสูงถึง 15 ล้านปอนด์เท่านั้น (652 ล้านบาท) และผลงานชิ้นแรกของเจ้าตัวก็คือการพาต้นสังกัดรอดพ้นจากความพ่ายแพ้ด้วยการไล่ตามเจ๊า ซัสซัวโล่ แบบสุดมัน 2-2 หลังจากนั่นก็ซัดประตูใส่ทีมอื่นๆเรื่อยมา ก่อนที่วันที่ 25 ตุลาคม 2015 เจ้าตัวจะต้องไปกลับไปเผชิญหน้าอดีตต้นสังกัดเก่าอย่าง ฟิออเรนติน่า และทำแสบทีมเก่าทันทีด้วยการซัดประตูเบิกร่องและเป็นประตูชัยให้กับทีมก่อนที่ท้ายเกมจะถูกไล่ออกจากสนามไป
ผลงานส่วนตัวของ ซาลาห์ ในการสีเสื้อโรม่า นั้นเหมือนกับเป็นคนล่ะคนจากสองทีมที่เคยค้าแข้งอยู่ โดยเจ้าตัวจัดการซัดไปทั้งหมด 15 ตุงและอีก 6 แอสซิสต์พร้อมกับเป็นรับตำแหน่งผู้เล่นยอดเยี่ยมของสโมสรไปครองแบบไม่มีใครค้าน
ลิเวอร์พูล (2016/17)
จากผลงานอันสุดสะเด่าขึ้นหิ้งแบบนี้ทำให้เจ้ามีข่าวการย้ายทีมอย่างหนาหูและหนึ่งในนั่นก็คือ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล ทีมจากแดนผู้ดีที่จ้องฉกไปร่วมทีมด้วยและ "หงส์แดง" ก็สำเร็จด้วยการยื่นข้อเสนอให้กับ โรม่า สูงถึง 42 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1827 ล้านบาท) และเป็นการทุบสถิติสูงสุดของสโมสรด้วย ซาลาห์ โดยเจ้าได้ย้ายมาเมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมาและกลายเป็นนัดเตะอียิปต์คนแรกของลิเวอร์พูล ด้วย ซึ่งหลังจากเจ้าตัวย้ายกลับมาค้าแข้งที่อังกฤษอีกครั้งก็โชว์ฟอร์มได้สมราคาสถิติของสโมสรเสียจริงๆด้วยการนำเป็นดาวซัลโวเดี่ยวๆของศึกพรีเมียร์ลีกและปฎิเสธไม่ได้เลยว่าตอนนี้ ซาลาห์ คือผู้แบกความหวังของสาวก "เดอะ ค็อป" อย่างแท้จริง
ทีมชาติอียิปต์
ซาลาห์ เริ่มลงเล่นในชุดยู-20 และ ยู-23 พาทีมไปลงเตะศึกบอลโลกชุดเล็กก่อนที่ฟอร์มการเล่นจะเข้าตาสุดๆจนถูกดันขึ้นมาเล่นชุดใหญ่และเบิกสกอร์แรกได้เป็นสำเร็จในเกมเอาชนะ เซียร่า ลีโอน ก่อนจะบวกสกอร์มาเรื่อยๆทั้งการซัดแฮทริคพาทีมเข้ารอบในศึกแอฟริกัน เนชั่นส์ คัพ พร้อมกับพ่วงได้รับทีมยอดเยี่ยมของทัวร์นาเม้น ก่อนที่ในศึกฟุตบอลโลกก็รับบทบาทเป็นจอมทัพเหมือนเดิมและเป็นคนซัดประตูชัยส่งทีมบ้านเกิดไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่รัสเซียกลางปีหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว