ประวัติ ฟีร์มีโน่ หอกเทพบุตรที่มีดีมากกว่าแค่การยิงประตู
ในช่วงโปรแกรมที่ชาติที่ผ่านมา โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ กองหน้าตัวเก่งของ ลิเวอร์พูล โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม กับทัพ "เซเลเซา" ในเกมที่ บราซิลเปิดบ้านไล่ถล่ม โบลิเวีย ไปถึง 5-0 โดยเจ้าตัวซัดไป 2 ประตู ฉลองเดือนเกิดของเขาได้สำเร็จ ถือว่าเรียกความมั่นใจให้กับดาวยิงวัย 29 ปี รายนี้ได้เป็นอย่างมาก แม้ว่าช่วงเปิดฤดูกาลนี้จะฟอร์มตกลงไป ยังยิงประตูให้ทัพ "หงส์แดง" ไม่ได้ แต่เชื่อว่าหลังเกมทีมชาตินี้น่าจะพกความมั่นใจกลับแอนฟิลด์ได้อย่างแน่นอน
โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ (เกิด 2 ตุลาคม 1991) นักฟุตบอลอาชีพของสโมสร ฟิเกอเรนเซ่, ฮอฟเฟ่นไฮม์ และ ลิเวอร์พูล นอกจากนี้เขาติดทีมชาติบราซิลลุยศึก โคปา อเมริกา 2015 ที่ประเทศชิลี เป็นทัวร์นาเม้นต์อย่างเป็นทางการของเขากับทีมชาติ ซึ่งเขาสามารถเล่นได้ในหลายตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็น มิลฟิลด์ตัวรุก, ตัวรุกตัวริมเส้น และกองหน้า
เส้นทางในอาชีพการค้าแข้ง ฟีร์มีโน่ เกิดที่เมือง มาเซโอ และได้ร่วมเล่นกับทีมเยาวชนของ ฟิเกอเรนเซ่ ในปี 2008 ด้วยอายุเพียง 17 ปีเขาลงเล่นให้กับสโมสร คลับ เด เรกาตัส บราซิล ทีมในเครือของ ฟิเกอเรนเซ่ ในตำแหน่งกองกลางตัวรับ
เขาเปิดฉากค้าแข้งอาชีพเป็นเกมแรกในวันที่ 24 ตุลาคม 2009 โดยลงสนามเป็นตัวสำรองแทน โตนินโญ่ ในเกมที่เปิดบ้านแพ้ ปอนเต้ เปรต้า 1-2 ในศึกระดับ ซีรี่ย์ บี ซึ่งหลังจากนั้นในเดือนมกราคม 2010 เขาถูกดันให้ไปเล่นกับทีมชุดใหญ่
ฟีร์มีโน่ ยิงประตูแรกในอาชีพการค้าแข้งเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2010 และเป็นประตูชัยให้ทีมเอาชนะ เซา แซตาโน่ อีกด้วย โดยเขาลงสนามทั้งสิ้น 36 นัดและยิงประตูได้ทั้งหมด 8 ลูก ช่วยให้ ฟิเกอเรนเซ่ กลับมาสู่ ซีรี่ย์ เอ อีกครั้งหลังจากที่ห่างหายไปนานกว่า 2 ปี
เขาเซ็นสัญญาย้ายไปร่วมทัพ ฮอฟเฟ่นไฮม์ ในเดือนธันวาคม 2010 ซึ่งสัญญาจะสิ้นสุดลงในเดือน มิถุนายน 2015 โดยหลังจากที่ย้ายมากว่า 1 เดือน เขาก็ได้รับโอกาสลงสนามในฐานะตัวสำรองในนาทีที่ 75 แทนที่ของ เซบาสเตียน รูดี้ และในวันที่ 16 เมษายน 2011 เขาก็สามารถซัดลูกแรกให้กับทีมได้สำเร็จ และเป็นประตูชัยในเกมที่เอาชนะ ไอน์ทรัคช์ แฟร้งค์เฟิร์ต ในศึกบุนเดสลีก้าฟีร์มีโน่ ถูกดร็อปเป็นเพียงแค่สำรอง เพื่อหลีกทางให้กับ ชิเนดู โอบาซี่ ดาวยิงชาวไนจีเรีย จนสิ้นสุดเดือนพฤศจิกายน 2011 เขาได้ฝึกซ้อมอย่างหนักและได้รับโอกาสลงสนามในเกมตกค้างกับ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น หลังจากนั้นเขาทำสองประตูในสองเกมที่พบกับ โวล์ฟสบวร์ก และ โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค
สำหรับฤดูกาล 2012-13 เขากลับมายึดตำแหน่งตัวจริงในทีมได้สำเร็จและโชว์ฟอร์มได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อจนจบซีซั่น ด้วยผลงานการลงสนามทั้งหมด 36 เกมและยิงประตูไปทั้งสิ้น 7 ลูก
ถึงขนาดที่ อันเดรส เบ็ค กัปตันทีมของ ฮอฟเฟ่นไฮม์ ออกมายกย่อง ฟีร์มีโน่ ว่าเขาเป็นผู้เล่นที่มีพัฒนาการสุดยอด และในวันที่ 27 มีนาคม 2014 เขาได้รับการขยายสัญญายาวไปอีก 3 ปีกับสโมสร ซึ่งฤดูกาล 2013-14 เขามีส่วนช่วยในการพาทีมจบอันดับที่ 4 ของลีกและยิงประตูคนเดียวไปถึง 16 ลูก
เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2015 ในขณะที่เขากำลังช่วยทีมชาติบราซิล ลุยศึก โคปา อเมริกา 2015 ที่ประเทศ ชิลี ทางสโมสร ฮอฟเฟ่นไฮม์ กับ ฟีร์มีโน่ ได้ทำการตกลงรายละเอียดต่าง ๆ กับทาง ลิเวอร์พูล รวมถึงรายละเอียดส่วนตัวของนักเตะ และทำให้เขาเตรียมย้ายไปเล่นในถิ่น แอนฟิลด์ ในฤดูกาล แต่ยังต้องรอการอนุมัติจาก "เวิร์ค เพอร์มิต" และเข้ารับการตรวจร่างกายในวันที่เซ็นสัญญากับทางสโมสร ซึ่งคาดว่าค่าตัวของเขาน่าจะอยู่ที่ราว ๆ 29 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,543 ล้านบาท)
แม้จะเข้ามาเล่นในยุคของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส แต่ ฟีร์มิโน่ มาฉายแสงสว่างไสวในยุคของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่จับเขามายืนในตำแหน่ง "False 9" และกลายเป็นว่าเหมือนทุกอย่างลงล็อค เขากลายเป็นหัวใจสำคัญในแดนหน้าของ "หงส์แดง" แม้จะไม่ใช่ดาวยิงจอมถล่มประตู แต่เขามีส่วนสำคัญอย่างมากในระบบของ คล็อปป์ ที่ช่วยประคับประคอง 2 แดนหน้าอย่าง ซาดิโอ มาเน่ และโมฮาเหม็ด ซาลาห์ ช่วยให้ทั้งคู่กลายเป็นยอดดาวยิงชื่อกระฉ่อนขึ้นมาสำเร็จในช่วงปัจจุบัน ไม่ใช่ว่า มาเน่ และซาลาห์ จะไม่เก่งกาจ แต่พรสวรรค์ของทั้งคู่ถูกสนับสนุนโดย ฟีร์มีโน่ ทำให้ขึ้นสู่ระดับท็อปได้อย่างรวดเร็ว
ฟีร์มิโน่ ซัดให้ทัพ "หงส์แดง" ไปทั้งสิ้น 78 ประตู ณ ปัจจุบันนี้ แม้จะยิงได้ไม่มาก แต่ก็มีส่วนขับเคลื่อนเกมรุกให้เครื่องจักรสีแดง ไล่บดขยี้แนวรับคู่แข่งอย่างเละเทะ ยิ่งในฤดูกาล 2019/20 ที่พาทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดมาครองได้สำเร็จหลังรอคอยมานานกว่า 30 ปี ยิ่งพีคสุดๆ โดยเฉพาะเกมนอกบ้านที่เขายิงประตูได้อย่างมากมาย
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่ทัพ "หงส์แดง" ประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, ซูเปอร์ คัพ, ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ และพรีเมียร์ลีก ในช่วง 2 ฤดูกาลหลังสุด มี ฟีร์มิโน่ เป็นหัวใจในแนวรุก และเขาคือผู้เล่นระดับโลกที่ลิเวอร์พูลจะขาดไม่ได้