ประวัติ แชคิล โอนีล
แชคิล โอนีล
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม : แชคิล ราชอน โอนีล
วันเกิด : 6 มีนาคม 1972 (อายุ 36 ปี)
สถานที่เกิด : เนวาร์ก, นิว เจอร์ซี่ย์
ส่วนสูง : 7 ฟุต (2.16 เมตร)
น้ำหนัก : 325 ปอนด์ (147.4 กิโลกรัม)
ทีมปัจจุบัน : ฟินิกส์ ซันส์
เบอร์เสื้อ : 32
เล่นอาชีพ : ปี 1992-ปัจจุบันประวัติความเป็นมา
แชคิล ราชอน โอนีล (Shaquille O'Neal) หรือที่ชื่อเต็มว่า แชคิล ราชอน โอนีล เกิด 6 มีนาคม 1972 ในเมืองนีวอร์ค มลรัฐนิวเจอร์ซี เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อว่า แชค (Shaq) เป็นนักกีฬาบาสเกตบอลเอ็นบีเอที่แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่ง นอกจากนี้ ชื่อของแชค ยังเป็นที่รู้จักในวงการเพลงแร็พเปอร์ และ นักแสดง ไม่แพ้กันอีกด้วย
กล่าวได้ดว่า โอนีล เป็นหนึ่งในนักบาสเกตบอลที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์วงการบาสเอ็นบีเอเลยก็ว่าได้ ตลอดเวลาการเล่น 13 ปี ซึ่งปัจจุบัน เขาเล่นในตำแหน่งเซ็ฯนเตอร์ ให้กับ ฟินิกส์ ซัน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ โอนีล สามารถคว้าแชมป์เอ็นบีเอได้ถึง 4 สมัย โดยเป็นกาคว้าแชมป์ร่วมกับทีม ลอส แองเจิลลิส เลเกอร์ส 3 สมัยติดต่อกัน ในปี 2000, 2001 และ 2002 และ ไมอามี่ ฮีท 1 สมัย ในปี 2006
ปัจจุบัน โอนีล เล่นอยู่กับทีมฟีนิกส์ ซันส์ มีชื่อเสียงเรื่องตัวใหญ่ด้วยความสูง 7 ฟุต 1 นิ้ว (2.16 ม.) หนัก 340 ปอนด์ (154 กก.) และใส่รองเท้าเบอร์ 22 (ของทางสหรัฐ) และเขายังมีชื่อเล่นหลายชื่อ เช่น ดีเซล (Diesel) บิ๊กอริสโตเติล (Big Aristotle) ซูเปอร์แมน (Superman) และล่าสุดเมื่อได้รับปริญญาโทบริหารธุรกิจคือ ดอกเตอร์แชค (Doctor Shaq) ซึ่งส่วนใหญ่แชคเป็นคนตั้งเอง
ชีวิดการเล่นบาสเกตบอล
มหาวิทยาลัยหลุยเซียนาสเต็ต
เขาเริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างเมื่อเล่นที่ไฮสคูล Robert G. Cole Junior-Senior High School ในเมืองซานแอนโตนิโอ มลรัฐเท็กซัส และได้เป็นผู้เล่นดีเด่นของโรงเรียนระหว่างเวลาที่เล่นอยู่ที่นั่น เขาเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยหลุยเซียนาสเตต (Louisiana State University, LSU) และจบปริญญาตรีในสาขาพาณิชยศาสตร์ ได้รับตำแหน่ง first team All-American สองครั้ง ผู้เล่นแห่งปีของ Southeastern Conference (SEC) สองครั้ง ผู้เล่นแห่งปีระดับประเทศในปี 1991 และเป็นเจ้าของสถิติของระดับมหาวิทยาลัย (NCAA) สำหรับจำนวนบล็อกสูงสุดในหนึ่งเกม คือ 17 บล็อกเมื่อแข่งกับมหาวิทยาลัยมิสซิสซิปปีสเตต (Mississippi State University) เมื่อ 3 ธันวาคม 1990
เดล บราวน์ (Dale Brown) โค้ชที่ LSU ในขณะนั้นบอกว่า เขาพบกับแชคครั้งแรกเมื่อไปที่เยอรมนี และเข้าใจผิดว่าแชคเป็นทหารคนหนึ่ง ขณะนั้นเขาอายุเพียง 13 ปี สูงถึง 7 ฟุต แต่หนักเพียง 223 ปอนด์ สามปีผ่านไปแชคตัวสูงขึ้นอีกเพียงหนึ่งนิ้ว แต่มีกล้ามเนื้อเพิ่มถึง 80 ปอนด์
เล่นอาชีพในลีกเอ็นบีเอ
1992-1996 : ออร์แลนโด เมจิก
โอนีล ในวัย 20 ปี ได้รับเลือกเป็นคนแรกของการดราฟในปี 1992 โดยทีมออร์แลนโด้ เมจิก เขาเล่นที่นั่นเป็นเวลาสี่ปี โดยมีผลงานที่โดดเด่นจนได้รับรางวัลผู้เล่นหน้าใหม่ยอดเยี่ยมประจำปี 1993 (รุกกี้ ออฟ เดอะเยียร์) หลังจากนั้น เมื่อออร์แลนโด้ได้ตัวการ์ดหน้าใหม่ แอนเฟอร์นี ฮาร์ดอเวย์ (ฉายา "เพนนี") เข้ามาในทีม การประสานงานของแชคกับเพนนี่ช่วยกันสร้างทีมออร์แลนโด้จากทีมท้ายตารางกลายมาเป็นทีมที่สามารถเข้ารอบเพลย์ออฟได้
และในฤดูกาลปี 1994-1995 การเข้ามาเสริมทีมของผู้เล่นมากประสบการณ์อย่าง โฮเรส แกรนท์ ทำให้พวกเขาพาทีมออร์แลนโด เอาชนะชิคาโก บูลส์ อดีตแชมป์ 3 สมัย ที่เพิ่งได้ไมเคิล จอร์แดนกลับมาในปีนั้น 4 ต่อ 2 เกม และได้แชมป์ฝั่งตะวันออกด้วยการเฉือนเอาชนะอินดีอานา เพเซอรส์ 4 ต่อ 3 เกม ทะลุเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศเอ็นบีเอเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของทีม แต่สุดท้ายก็ต้องพ่ายให้แชมป์เก่า ฮิวส์ตัน ร็อคเก็ตส์ ที่มี อาคีม โอลาจูวอน กับ ไคลด์ เดร็กซ์เลอร์ เป็นผู้เล่นหลัก ไป 4 ต่อ 0 เกมรวด ฮิวส์ตัน คว้าแชมป์สมัยที่สองติดต่อกัน
ในปีถัดมา (ฤดูกาลปี 1995-1996) ออร์แลนโด้ยังคงเป็นทีมที่แข็งแกร่ง ฝ่าฟันเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศของฝั่งตะวันออกได้ไม่ยากเย็น แต่ก็ไม่สามารถต้านทานฟอร์มร้อนแรงของ ไมเคิ่ล จอร์แดน และชิคาโก บูลส์ ที่เพิ่งสร้างประวัติศาสตร์ชนะมากที่สุด 72 ครั้งแพ้ 10 มาจากฤดูกาลปกติได้ ต้องปราชัยอย่างหมดท่า 4 เกมต่อ 0 ชิคาโก บูลส์ คว้าแชมป์ฝั่งตะวันออกและเอาชนะซีแอทเทิล ซุปเปอร์โซนิก ในรอบชิงชนะเลิศเอ็นบีเอ 4 เกมต่อ 2 คว้าแชมป์สมัยที่ 4 ไปได้สำเร็จ
หลังจากหมดสัญญาจากทีม แชคได้รับข้อเสนอต่อสัญญาจากออร์แลนโด้จำนวนเงินถึง 115 ล้านเหรียญ พร้อมๆกับได้รับการติดต่อจากทีมลอสแอนเจลิส เลเกอร์ส แต่สุดท้ายแชคก็ตกลงเซ็นสัญญาไปเข้าร่วมทีมลอสแอนเจลิส เลเกอร์ส เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 1996
1996-2004 : ลอสแอนเจลิส เลเกอร์ส
หลังจากฤดูกาล 1995-96 ของเอ็นบีเอ โอนีลเข้าร่วมทีมลอสแอนเจลิส เลเกอร์ส ด้วยสัญญาเจ็ดปีมูลค่าสูงถึง 120 ล้านเหรียญสหรัฐซึ่งไม่เคยมีมาก่อน เขาและโคบี ไบรอันต์ กลายเป็นคู่การ์ดและเซ็นเตอร์ที่เล่นได้ประสิทธิภาพที่สุดคู่หนึ่งในประวัติศาสตร์เอ็นบีเอ ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองจะไม่ราบลึ่นและเกิดเรื่องผิดใจกันบ่อยครั้ง
อย่างไรก็ตามทั้งคู่ซึ่งคุมทีมโดยโค้ช ฟิล แจ็กสัน ประสบความสำเร็จมากบนสนามแข่งขัน และพาทีมคว้าตำแหน่งชนะเลิศสามปีติดต่อกัน (2000 ถึง 2002) แชคได้รับการเลือกเป็นผู้เล่นทรงคุณค่าในรอบสุดท้ายทั้งสามครั้ง เป็นผู้เล่นที่ทำแต้มเฉลี่ยสูงสุดในตำแหน่งเซ็นเตอร์ในประวัติศาสตร์การแข่งรอบสุดท้าย เขายังได้รับการลงคะแนนให้เป็นผู้เล่นทรงคุณค่าในฤดูกาลปกติของปี 1999-2000 และเกือบได้คะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ ขาดไปเพียงคะแนนเดียวเท่านั้น
ต้นฤดูกาล 2003-2004 โอนีล ประกาศว่าเขาต้องการต่อสัญญา แต่ผู้บริหารทีมลังเลที่จะทำตามข้อเรียกร้องของเขา เลเกอร์สเสนอสัญญาหนึ่งเมื่อกุมภาพันธ์ 2004 เพื่อให้โอนีลยังคงเป็นผู้เล่นที่มีค่าตัวสูงที่สุดในลีกแต่โอนีลปฏิเสธ
หลังจากเลเกอร์สพ่ายให้กับดีทรอยต์ พิสตันส์ในรอบสุดท้ายของเอ็นบีเอ โอนีลโมโหกับคำพูดของผู้จัดการทั่วไปของเลเกอร์ส มิทช์ คุปแชค (Mitch Kupchak) และยังมีเรื่องที่ฟิล แจ็กสันไม่ต่อสัญญากับทีม รวมถึงเรื่องเกี่ยวกับอนาคตของแชคกับทีม ทำให้โอนีลต้องการให้เทรด ซึ่งทางเลเกอร์สก็ตกลงเทรดโอนีลไปยังทีมไมอามี ฮีท แลกกับ ลามาร์ โอดม (Lamar Odom), ไบรอัน แกรนต์ (Brian Grant), คารอน บัทเลอร์ (Caron Butler) และสิทธิ์ในการดราฟรอบแรก
2004-2007 : ไมอามี ฮีท
แชคได้ถูกเทรดอย่างเป็นทางการเมื่อ 14 กรกฎาคม 2004 การเทรดนี้ถือเป็นการเทรดที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์กีฬา โดยผู้วิเคราะห์ไม่แน่ใจว่าผู้เล่นคนเดียวสามารถแทนที่ผู้เล่นสำคัญหลายคนของไมอามีได้ แต่ว่าทีมฮีทใหม่ที่มีแชคประสบความสำเร็จเหนือความคาดหมายและทำสถิติดีที่สุดของสายตะวันออกได้อย่างง่ายดาย คนที่เทรดออกไปกลับไม่ช่วยให้เลเกอร์สเข้ารอบเพลย์ออฟได้ เขาพลาดรางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าของฤดูกาล 2004-2005 โดยแพ้ให้กับ สตีฟ แนช (Steve Nash) ไปเพียงเล็กน้อย ถึงแม้ว่าแชคจะกะเผลกจากแผลฟกช้ำที่ต้นขา เขาก็ยังนำทีมเข้าถึงรอบชิงของสายตะวันออกและแพ้ให้กับทีมดีทรอยต์ พิสตันส์ ในเกม 7 ด้วยคะแนนไม่ห่างมากนัก
สิงหาคม 2005 โอนีลเซ็นสัญญาต่ออีก 5 ปีกับฮีทด้วยเงิน 100 ล้านเหรียญ นักวิจารณ์ต่างดูแคลนว่าเป็นการจ่ายผู้เล่นอายุมากที่แพงเกินความเป็นจริง แต่ผู้สนับสนุนก็ยกย่องฮีทที่ได้ผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเอ็นบีเอด้วยค่าตัวเพียง 20 ล้านเหรียญต่อปี ซึ่งพอ ๆ กับผู้เล่นบางคนที่มักบาดเจ็บหรือเล่นได้แย่บางคน
จากการเซ็นสัญญานี้ แชคได้กลับคำพูดเดิมที่ว่าไม่ยอมลดค่าตัวของตัวเองเพื่อผลประโยชน์ของทีม 2006 แชคมีค่าตัว 30 ล้านเหรียญแต่ปีต่อ ๆ ไปจะมีค่าตัวลดลงถึง 10 ล้านเหรียญเพื่อช่วยให้ฮีทสามารถได้ผู้เล่นที่ดีขึ้น
ในฤดูกาล 2005-2006 แชคบาดเจ็บข้อเท้าขวาในเกมที่สองของฤดูกาลและพลาดลงเล่นใน 18 เกมถัดมา ตลอดฤดูกาลปกติ โค้ช แพท ไรลีย์ (Pat Riley) จำกัดเวลาเล่นของแชคเพื่อให้แชคมีฟอร์มการเล่นที่สดขึ้นเมื่อถึงช่วงเพลย์ออฟ แชคจบฤดูกาลปกติได้เปอร์เซนต์การชู้ตสูงสุดในลีก และเป็นการทำสถิติได้เป็นครั้งที่ 9 ซึ่งมีเพียงแชค และ วิลต์ แชมเบอร์เลน (Wilt Chamberlain) เท่านั้นที่ทำได้ ในวันที่ 11 เมษายน 2006 แชค ยังทำ ทริปเปิ้ล-ดับเบิ้ล เป็นครั้งที่สองในชีวิตการเล่นโดยได้ 15 คะแนน 11 รีบาวด์ 10 แอสซิสต์ ซึ่งเป็นการทำแอสซิสต์สูงสุดของแชค
ในเพลย์ออฟ 2006 ฮีท ได้คว้าแชมป์เอ็นบีเอเป็นครั้งแรกของทีมภายใต้การนำของแชค และ ดเวน เหว็ด (Dwyane Wade) ฮีทเข้าเพลย์ออฟในอันดับสองในสาย เอาชนะทีมอันดับหนึ่งคือดีทรอยต์ พีสตันส์ในรอบชิงแชมป์คอนเฟอเรนซ์ตะวันออก และชนะทีมดัลลัส แมฟเวอริกส์ในรอบชิงชนะเลิศ แชคทำผลงานเฉลี่ยน้อยกว่าฤดูกาลปกติ แต่ก็สร้างผลงานได้ดีในเกมที่ปิดซีรีส์เพื้อเข้ารอบต่อไป โดยทำ 30 แต้ม 20 รีบาวด์เอาชนะชิคาโก้ บูลส์ในรอบแรก และทำ 28 แต้ม 16 รีบาวด์ 5 บล็อกเอาชนะพีสตันส์ แชมป์ครั้งนี้เป็นครั้งที่สี่ของแชคและเป็นไปตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับไมอามี
ฤดูกาล 2006-07 ฮีท ประสบปัญหาการบาดเจ็บจากผู้เล่นหลัก แชคเจ็บเข่าขวา และไม่ได้ลงเล่นถึง 30 เกม ช่วงที่แชคหายไป ทีมมีปัญหาการเล่น แต่เมื่อแชคกลับมาเล่นอีกครั้ง เขาทำให้ทีมชนะ 7 ใน 8 เกมถัดมา แต่ ดเวน เหว็ด ก็มาบาดเจ็บหัวไหล่เคลื่อน นักวิจารณ์สงสัยว่าลำพังแชคสามารถแบกทีมให้เข้าสู่รอบเพลย์ออฟได้หรือไม่ ซึ่งแชคก็ตอบข้อวิจารณ์โดยพาทีมให้ชนะเกมติดต่อกันและได้เล่นในเพลย์ออฟ ฮีท ได้พบกับ ชิคาโก้ บูลส์ ในรอบแรกแต่แพ้ 4 เกมรวดและตกรอบเพลย์ออฟ
2007- ปัจจุบัน : ฟินิกส์ ซัน
โอนีล ย้ายไปร่วมทีม ฟินิกส์ ซัน ด้วยการข้อตกลงการแลกตัวกับ ชอว์น มาริออน และ มาร์คุส แบงค์ 2 ผู้เล่นของไมอามี่ ฮีท และโอนีล ก็ลงเล่นให้กับต้นสังกัดใหม่ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2008 ในเกมที่พบกับทีมเก่าอย่าง แอลเอ เลเกอร์ส ซึ่งเขาทำได้ 15 แต้ม กับ 9 รีบาวน์ อย่างไรก็ตาม เลเกอร์ส ก็เป็นฝ่ายชนะไป 130-124
ตลอดซีซั่นนี้ โอนีล ลงเล่นในฤดูกาลปกติไป 28 เกม ทำแต้มเฉลี่ยได้ 12.9 กับ 10.6 รีบาวน์ ต่อเกม ภายใต้การลงเล่นเป็นฤดูกาลแรกกับทีม ฟินิกส์ ซัน ซึ่งเขาก็สามารถช่วยทีมผ่านเข้าไปเล่นรอบเพลย์ออฟได้สำเร็จ โดยไปพบกับ ซาน อันโตนิโอ สเปอร์ส ก่อนที่เส้นทางของฟินิกส์ ซัน จะหยุดไว้แค่นั้น หลังพ่ายให้กับ สเปอร์ส ไปตามระเบียบ อย่างไรก็ตาม ในเกมรอบเพลย์ออฟ นั้น โอนีล ทำแต้มเฉลี่ยได้ 15.2 คะแนน, 9.2 รีบาว และ 1.0 แอสซิส ต่อเกม
จุดแข็งและจุดอ่อน
โอนีลมีร่างกายที่พิเศษ ความสูง 7 ฟุต 1 นิ้วและน้ำหนัก 320 ปอนด์ทำให้เขามีพละกำลังมาก และสำหรับคนรูปร่างขนาดนั้น แชคเป็นคนที่คล่องแคล่ว ท่า drop step ของเขาคือ เริ่มด้วยยีนหันหลังให้แป้นและผู้เล่นตั้งรับทีมตรงข้าม จากนั้นหมุนตัวและเอาตัวดันเพื่อทำสแลมดั๊งก์ เป็นท่าที่ยากที่จะป้องกันได้ เขายังเป็นคนส่งลูกที่ดีและเล่นตั้งรับได้มีประสิทธิภาพ การที่มีคนอย่างเขาบริเวณใต้แป้นทำให้ทีมต่าง ๆ ต้องปรับเปลี่ยนแผนในการรุกและรับ หากจะป้องกันแชคโดยเอาผู้เล่นสองหรือสามคนมาประกบก็กลับทำให้เพื่อร่วมทีมสามารถชู้ตลูกได้ง่าย ๆ โดยไม่มีใครมาประกบ
จากการที่เขาเคยทำข้อมือหักทั้งสองข้างจากการไต่ระหว่างต้นไม้สองต้นเลียนแบบสไปเดอร์แมน ตัวการ์ตูนที่เขาชื่นชอบ จึงทำให้ โอนีลเป็นคนที่ชู้ตลูกโทษแย่ที่สุดคนหนึ่งในเอ็นบีเอ ค่าเฉลี่ยตลอดการเล่นของเขาคือเพียง 53.1% ทีมตรงข้ามชอบใช้วิธีทำฟาวล์แชคโดยจงใจ เรียกกลยุทธ์นี้ว่า Hack-a-Shaq คิดและตั้งชื่อโดย ดอน เนลสัน โค้ชของดัลลัส แมฟเวอริกส์ อย่างไรก็ตาม การชู้ตลูกโทษแย่ก็พบในผู้เล่นยิ่งใหญ่อีกหลายคนเช่น วิลท์ แชมเบอร์เลน (Wilt Chamberlain) การตั้งใจทำฟาวล์หรือ Hack-a-Shaq นี่เองที่ทำให้เกิดเอ็นบีเอตั้งกติกาขึ้นใหม่ว่า ห้ามจงใจทำฟาวล์ผู้เล่นที่ไม่ได้ถือบอล จนกว่าจะเหลือเวลาการแข่งขันต่ำกว่า 2 นาที ไม่เช่นนั้น ก็จะถือเป็นการทำฟาวล์ทางเทคนิค (Technical Foul) ทันที
จุดอ่อนอีกอย่างหนึ่งของเขาคือเรื่องน้ำหนัก โอนีลมักปรากฏตัวในแคมป์ฝึกซ้อมก่อนฤดูกาลด้วยน้ำหนักตัวที่มากเกินไป ในช่วงสองสามปีสุดท้ายกับทีมลอสแอนเจลิส เลเกอร์ส เขาหนักประมาณ 350 ปอนด์ (160 กิโลกรัม) เมื่อแชคมีน้ำหนักตัวมากเกินไป เขามักมีปัญหาการบาดเจ็บโดยเฉพาะที่นิ้วหัวแม่โป้งเท้าข้างขวา เขามีอาการเจ็บปวดเรื้อรังที่ข้อต่อนิ้วโป้งเท้าขวาจากการวิ่ง กระโดด และดั๊งก์ ด้วยน้ำหนักตัวที่สูงเป็นเวลามากกว่าสิบปี
หลายคนรู้สึกว่าความดังของแชคทำให้กรรมการละเลยที่จะเรียกฟาวล์เมื่อทำผิดกฎบางอย่าง เช่นท่าชู้ตลูกโทษของแชคที่ละเมิดกฎที่ห้ามไม่ให้คนชู้ตลูกโทษล้ำข้ามเส้นลูกโทษจนกว่าลูกบาสเกตบอลจะกระทบกับห่วงหรือแป้นบาส แต่คนที่เข้าข้างแชคมักพูดว่า เนื่องจากรูปร่างที่ใหญ่โตของเขา กรรมการมักปล่อยให้คนอื่นเล่นรุนแรงขึ้นกับแชค
จุดอ่อนสำคัญประการล่าสุดของแชคตอนนี้ คือ อายุ ตามสถิติของเอ็นบีเอแล้ว ผู้เล่นที่มีความสูงเกินกว่า 7ฟุต (ประมาณ 213 เซนติเมตร) จะมีค่าเฉลี่ยต่างๆ ลดลงหลังจากอายุ 30 ปี โดยเฉพาะการทำคะแนนที่จะต่ำกว่า 20 คะแนนต่อเกม ซึ่งแชคก็ไม่สามารถหนีสถิตินี้พ้นเช่นเดียวกัน
ชีวิตส่วนตัว
แชคิล ราชอน (มาจากภาษาอาหรับ แปลว่า นักรบน้อย) เป็นชื่อที่บิดาแท้ ๆ คือ โจเซฟ โทนี่ (Joseph Toney) เป็นคนตั้งให้ แต่โอนีลก็ไม่ได้ใกล้ชิดกับเขา มารดาของโอนีล ลูซีลล์ โอนีล แฮริสัน (Lucille O'Neal Harrison) แต่งงานใหม่กับทหารอเมริกันชื่อ ฟิลิป แฮริสัน (Phillip Harrison) ซึ่งแชคเห็นเขาเป็นบิดาที่แท้จริง เชคได้ใช้ชีวิตส่วนหนึ่งในวัยเด็กในประเทศเยอรมนี ที่ที่พ่อของเขาประจำการอยู่ เขาเรียนรู้วิธีการเล่นบาสเกตบอลที่นั่น
โอนีล แต่งงานกับ ชอนนี่ เนลสัน ในปี 2002 โดยทั้งคู่ มีลูกด้วยกัน 6 คน โดยเป็นลูกที่เกิดระหว่างเขากับเนลสัน 4 คน (ชารีฟ, อมิราห์, ชาเกียร์ และ เมเอราห์ ซึ่งมีอายุระห่วาง 1-6 ปี), ลูกติดจากภรรยาเก่าของเขา 1 คน (ตาฮิราห์ อายุ 9 ปี) และ ลูกติดจากภรรยาคนปัจจุบัน อีก 1 คน (มายเลส อายุ 8 ปี) ทั้งนี้ ครอบครัวของ โอนีล อาศัยอยู่ที่ สตาร์ ไอสแลนด์ ใน ไมอามี่, ฟลอริด้า อย่างไรก็ตาม ชีวิตครอบครัวของเขาก็ปิดฉากลง เมื่อทั้งคู่หย่าขาดกัน ในปี 2007
ชีวิตนอกสนาม
โอนีล ออกจาก มหาวิทยาลัยหลุยเซียนาสเตต หลังจากอยู่ที่นี้เป็นเวลา 3 ปี อย่างไรก็ตาม เขาก็สัญญากับแม่ของเขาว่า เขาก็จะกลับมาเรียนและจบการศึกษาระดับปริญญาตรีให้ได้ ก่อนที่ในที่สุด ปี 2000 โอนีล จะกลับมาร่ำเรียนอย่างจริงจังอีกครั้ง และเขาก็สามารถคว้าปริญญา ศิลปศาสตร์บัณฑิต ภาคปกติ ได้สำเร็จ ซึ่งผู้ที่มีส่วนสำคัญในครั้งนี้ ก็น่าจะต้องขอบคุณ ฟิล แจ๊คสัน โค้ชของทีม เลเกอร์ส ที่อนุญาตให้ โอนีล ไม่ต้องลงช่วยทีมในเกมเอ็นบีเอเกมเหย้าของทีม เพื่อที่เขาจะได้ไปเล่นหนังสือที่มหาวิทยาลัยได้ หลังจากนั้น โอนีล ก็ยังได้รับปริญญาโท สาขาบริหารธุรกิจ ภาคพิเศษ ซึ่งเรียนแบบออนไลน์ จากมหาวิทยาลัย ฟินิกส์ ในปี 2005 อีกด้วย และ ความตั้งใจของเขาก็คือการเรียนต่อระดับปริญญาเอกในสาขา อาชญาวิทยา หรือไม่ก็ ประวัติศาสตร์ศิลป์ ในปี 2006
นอกจากนี้ แชคมีความสนใจงานในหน่วยงานตำรวจมาก โอนีล ผ่านหลักสูตรโรงเรียนตำรวจของลอสแอนเจลิส และเป็นเจ้าหน้าที่สำรองของตำรวจท่าของลอสแอนเจลิส และในเดือนมีนาคม ปี 2005 เขาได้รับยศกิตติมศักดิ์ U.S. Deputy Marshal และเป็นโฆษกของสถาบัน Safe Surfin' และยังทำงานร่วมกับหน่วยที่มีชื่อเดียวกันเพื่อตามล่าผู้ที่ใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อล่อลวงเด็กทางเพศ เมื่อแชคย้ายไปอยู่ไมอามี แชคเริ่มฝึกเพื่อเป็นเจ้าหน้าที่สำรองของเมืองไมอามีบีช และเข้าสาบานตัวเป็นเจ้าหน้าที่ เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ปี 2005 แชค สนใจทำงานด้านสืบสวนสอบสวน สำหรับป้องกันอาชญากรรมที่เกิดขึ้นกับเด็ก
ผลงานการแสดง
ภาพยนตร์
Blue Chips (1993) เล่นกับเพื่อนร่วมทีม แอนเฟอร์นี ฮาร์ดาเวย์ (Anfernee Hardaway) และ Nick Nolte, Kazaam (1996), Good Burger (1997), Steel (1997), Freddy Got Fingered (2001), Scary Movie 4 (2006)โฆษณาทางโทรทัศน์
เนสเล่ ครั้นช์ (Nestlé Crunch), Chattem Icy Hot Sleeve and Icy Hot Back Patch (แผ่นปิดแก้ปวดเมื่อย)รายการทีวี
Shaquille (2005), รายการเรียลลิตี้ของช่อง ESPNผลงานดนตรี
Shaq Diesel (1993), Shaq Fu - Da Return (1994), The Best of Shaquille O'Neal (1996), You Can't Stop the Reign (1996), Respect (1998), Presents His Superfriends, Vol. 1 (2001)รางวัลที่ได้รับ
แชมปเอ็นบีเอ 4 ครั้ง : ปี 2000, 2001, 2002, 2006
ผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP) : ปี 2000
ผู้เล่นดาวรุ่งแห่งปี (NBA Rookie of the Year) : ฤดูกาล 1992-1993
เป็นผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP) ในรอบไฟนอลของเอ็นบีเอ 3 ครั้ง : ปี 2000, 2001, 2002
ได้รับเลือกให้เป็นผู้เล่นในออลสตาร์ เอ็มวีพี 2 ครั้ง
ได้รับเลือกในทีม ออล-เอ็นบีเอ 14 ครั้ง
แชมป์ World Championship ปี 1994
แชมป์ โอลิมปิก เกมส์ ปี 1996
***ข้อมูลสิ้นสุด ณ วันที่ 27 กรกฎาคม 2551