ประวัติ เอริก คันโตน่า
เอริค คันโตน่า ตำนานกองหน้าของแมนฯยูฯเปิดเผยว่าตัวเองชอบที่จะเห็นทีมที่มีระบบเยาวชนที่แข็งแกร่งและเป็นส่วนสำคัญของสโมสรมากกว่า โดยอดีตกัปตันทีมรู้สึกว่านี่คือวิธีที่ดีที่สุดที่จะสร้าง "ทีมไร้พ่าย" ขึ้นมา
ทั้งแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ใช้เงินในการซื้อตัวนักเตะไปมากในช่วงหลายปีมานี้ แต่แมนฯยูฯมีสถิติที่ดีกว่าในเรื่องการผลักดันนักเตะเยาวชนที่มีพรสวรรค์ขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่
นักเตะอย่าง แพ็ดดี้ แม็คแนร์, ไทเลอร์ แบล็คเก็ตต์ และ เจมส์ วิลสัน ก้าวขึ้นมาจากทีมชุดยู 21 ในฤดูกาลนี้ ขณะที่ แดนนี่ เวลเบ็ค ก็เคยเป็นส่วนหนึ่งของทีมชุดใหญ่ของแมนฯยูฯก่อนหน้านี้มาหลายปี
คันโตน่าเชื่อว่านโยบายของแมนฯยูฯเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับนักเตะเยาวชนที่จะพัฒนาความเข้าใจกันได้ดีขึ้นด้วยการทำงานไปด้วยกัน
"ผมชอบสโมสรแบบแมนฯยูฯมากกว่านะ พวกเขามีเงินพอที่จะซื้อนักเตะที่ดีที่สุดแต่ก็ทำงานร่วมกับนักเตะเยาวชนด้วย ระบบเยาวชนเป็นเรื่องที่สำคัญมาก แมนฯยูฯจริงจังเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว"
"คุณอาจจะซื้อนักเตะที่ดีที่สุดได้ แต่เมื่อคุณมีระบบเยาวชนที่แข็งแกร่ง มีนักเตะที่สุดยอดขึ่้นมาพร้อมกันหลายคน ไม่มีใครจะเอาชนะคุณได้ง่ายๆแน่เพราะว่าพวกเขาเล่นด้วยกันมาตั้งแต่อายุ 14 พวกเขามีความเข้าใจกันดี"
"บางที ซิตี้ กำลังพยายามสร้างบางสิ่งบางอย่างอยู่ เชลซีก็เช่นกัน แต่เรื่องพวกนี้ต้องใช้เวลาถึงจะเห็นผล คุณอาจจะได้แชมป์หลังจากที่คุณเสริมทีมด้วยการซื้อตัวด้วยเงินจำนวนมาก แต่ถ้าคุณมีนักเตะเยาวชนะที่ดีคุณจะประสบความสำเร็จเป็นสิบๆปีเลย"
เอริก คันโตนา
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม : เอริก ดาเนี่ยล ปิแอร์ คันโตน่า
วันเกิด : 24 พฤษภาคม ค.ศ. 1966
สถานที่เกิด : มาร์กเซย ประเทศฝรั่งเศส
ส่วนสูง : 188 ซ.ม. (6 ฟุต 2 นิ้ว)
ฉายา : Eric the King
ทีมชาติ : ฝรั่งเศส (รีไทน์)
ตำแหน่ง : กองหน้าเอริก แดเนียล ปิแอร์ กองโตนา (Éric Daniel Pierre Cantona) (เกิดเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2509 (ค.ศ. 1966) ที่เมือง มาร์กเซย์ ประเทศฝรั่งเศส) เล่นฟุตบอลอาชีพกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เป็นสโมสรสุดท้าย ซึ่ง คันโตนา ประสบความสำเร็จได้แชมป์พรีเมียร์ลีก ถึง 4 สมัย ภายในเวลา 5 ปี รวมไปถึงการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกและฟุตบอลถ้วย เอฟเอคัพ ภายในฤดูกาลเดียวกันอีกสองสมัย
ในปี พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) ได้รับการโหวตจากแฟนๆ ของทีม ให้เป็นนักฟุตบอลแห่งศตวรรษ แฟนๆ ยังคงกล่าวถึงคันโตนา โดยเรียกเขาว่า "เอริก เดอะ คิง" จนถึงทุกวันนี้
การเล่นฟุตบอลในฝรั่งเศส
คันโตนา เริ่มเล่นฟุตบอลกับสโมสรโอลิมปิกมาร์กเซย(โอ'แอม) เป็นคนที่ค่อนข้างหัวเสียง่าย มีอยู่ครั้งหนึ่ง ในขณะที่ลงแข่งขันนัดกระชับมิตร กับ ทีมตอร์ปิโด มอสโก เขาถูกเปลี่ยนตัวออก แล้วได้แสดงอาการไม่พอใจ ด้วยการ ฉีกเสื้อและขว้างมันทิ้ง เขาถูกลงโทษห้ามลงแข่งเป็นเวลา 1 เดือน หลังจากนั้น สองถึงสามสัปดาห์ เขาก็ได้ออกมากล่าวโจมตี โค้ชทีมชาติฝรั่งเศสทางทีวีอีกด้วย
ก็องโต้ ย้ายสู่ บอร์กโดซ์ ด้วยสัญญายืมตัว หลังจากนั้นก็ได้ย้ายไปเล่นให้กับ มงเปลลิเย่ร์ ซึ่งเขาได้สัมผัสกับถ้วยแชมป์ เฟร้นช์ คัพ เป็นครั้งแรก ก่อนจะถูก มาร์กเซย์ดึงตัวกลับมา แต่ เขาก็ยังถูกขายให้กับ นีมส์
เขาถูกห้ามลงแข่งขันอีกครั้งเป็นเวลา 1 เดือน จากการขว้างบอลใส่ผู้ตัดสิน และกองโตนาก็ให้สัมภาษณ์วิจารณ์คำตัดสิน จึงถูกลงโทษเพิ่มเป็น 2 เดือน และนี่เองเปรียบเสมือนฟางเส้นสุดท้ายของคันโตนา เขาจึงตัดสินใจ แขวนสตั๊ด อย่างไรก็ตาม ต้องขอบคุณแฟนฟุตบอลพันธ์แท้รายหนึ่ง ที่ชักจูงให้คันโตนากลับมาเริ่มต้นเล่นฟุตบอลอีกครั้ง ที่ประเทศอังกฤษ
การเล่นฟุตบอลในอังกฤษ
ภาพเอริก คันโตนาจากโฆษณาของไนกี้ ข้อความในภาพเขียนว่า ปี '66 คือปีที่ยิ่งใหญ่ของฟุตบอลอังกฤษเนื่องจากเอริกเกิดหลังจากมาทดสอบฝีเท้ากับสโมสร เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ คันโตนา ก็ได้ย้ายเข้าสู่สโมสร ลีดส์ ยูไนเต็ด ในปี พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) คันโตนาพายูงทองเถลิงบัลลังก์แชมป์ดิวิชั่น 1 (เดิม) ได้ทันทีในฤดูกาลนั้นเอง (1991-1992)เดือนพฤศจิกายนปีเดียวกันนั้น คันโตนาก็ย้ายสโมสรอีกครั้งหนึ่ง เข้าสังกัดทีมปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัวที่ปีศาจแดงจ่ายให้กับลีดส์เพียงแค่ 1.2 ล้านปอนด์ เท่านั้นขณะนั้นทีมปีศาจแดงกำลังประสบกับปัญหาปืนฝืด ไม่สามารถทำประตูคู่แข่งได้เนื่องมาจากการที่สโมสรขาย มาร์ค โรบิน และ ดิออน ดับลิน ประสบปัญหาการบาดเจ็บ อย่างไรก็ตาม คันโตนาปรับตัวเข้ากับสโมสรแห่งใหม่ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ตัวเขาสามารถทำประตูและส่งให้เพื่อนร่วมทีมทำประตูได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ
2 ฤดูกาลต่อมา ยูไนเต็ดประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่ง คว้าแชมป์ลีกในปี พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993)และ ดับเบิ้ลแชมป์ในปี พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) ซึ่งคันโตนาทำประตูจากลูกจุดโทษสองประตูถล่ม เชลซี ในนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอคัพ 4-0
แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อ คันโตน่า ก่อเรื่องน่าอายขึ้นในเกมเยือน คริสตัลพาเลซ ในเดือนมกราคม ฤดูกาลถัดมา(พ.ศ. 2538)(ค.ศ. 1995) เมื่อกระโดดถีบใส่ แมทธิว ซิมม่อนส์ แฟนบอลทีมเจ้าบ้าน หลังจากโดนผู้ตัดสินไล่ออกจากสนาม
ในงานแถลงข่าวภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าว กลุ่มนักข่าวพากันมารอสัมภาษณ์คันโตน่า ซึ่งคันโตน่าได้เดินเข้ามานั่ง ก่อนจะกล่าวว่า "เมื่อนกนางนวลบินตามเรือประมง...ก็เพราะพวกมันคิดว่าปลาซาร์ดีนจะถูกโยนลงมาในทะเล" เพียงเท่านี้เขาก็ลุกออกจากห้องไป สร้างความงุนงงให้กับกองทัพนักข่าวทั้งหลาย
คันโตน่าถูกศาลชั้นต้นสั่งลงโทษจำคุกเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ก่อนที่ศาลอุทธรณ์จะเปลี่ยนบทลงโทษให้เป็นทำงานบริการสังคมเป็นเวลา 120 ชั่วโมงแทน นอกจากนี้สมาคมฟุตบอลอังกฤษยังสั่งลงโทษคันโตนาห้ามลงสนามจนกว่าจะถึงเดือนตุลาคมอีกด้วย
มีการคาดการณ์กันไปต่างๆ นานา ว่าคันโตนาอาจจะยุติการค้าแข้งที่อังกฤษหลังจากพ้นโทษแบน แต่ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เป็นผู้ที่ชักจูงให้คันโตนาอยู่กับทีมต่อไป ซึ่งในช่วงต้นฤดูกาลนั้นสโมสรได้ขายผู้เล่นสำคัญบางคนออกไปและเลื่อนชั้นนักเตะจากทีมเยาวชนขึ้นมาแทน ทำให้ความหวังในการคว้าแชมป์ไม่สู้จะดีนักเช่นเดียวกับในปี พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992)
คันโตนายิงประตูจากลูกจุดโทษในเกมพบกับ ลิเวอร์พูลได้ในนัดประเดิมสนามหลังจากพ้นโทษ และประตูของเขาก็ช่วยให้สโมสรคว้าแชมป์ลีกได้หลังจากต้องเป็นฝ่ายไล่ตามหลัง 10 คะแนนตั้งแต่เดือนธันวาคมเป็นต้นมา และเป็นทีมแรกที่สามารถคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้สองสมัยติดต่อกันหลังจากคันโตนาทำประตูชัยได้ในนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอคัพ
ยูไนเต็ดคว้าแชมป์ได้อีกครั้งในฤดูกาล 1996/1997 ทำให้คันโตนาได้แชมป์ลีกไปแล้วถึง 6 ครั้งในรอบ 7 ปี ยก เว้นเพียงปีที่เขาโดนแบนเท่านั้น หลังฤดูกาลจบลง คันโตนา ก็สร้างความประหลาดใจให้กับแฟนบอล ด้วยการประกาศเลิกเล่น ในขณะที่อายุเพิ่งจะ 30 ปีเท่านั้น ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานได้หันเหไปเล่นฟุตบอลชายหาดให้กับทีมชาติฝรั่งเศส โดยเป็นกัปตันทีมด้วย
ในปี พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) คันโตนาได้ให้สัมภาษณ์อีกครั้งโดยได้กล่าวว่า "ผมภูมิใจที่แฟนๆ ยังคงร้องเรียกชื่อผม แต่ผมกลัวว่าพรุ่งนี้พวกเขาอาจจะไม่ทำเช่นนั้น ผมกลัวเพราะผมรักมัน และทุกๆ สิ่งที่คุณรัก คุณก็ต้องกลัวที่จะเสียมันไป" คำพูดนี้ได้ถูกนำมาประกอบลงไปใน วอลเปเปอร์ของสโมสรที่ให้แฟนๆ เข้าไปโหลดได้ที่เว็บไซต์
การเล่นให้กับทีมชาติฝรั่งเศสคันโตนาเป็นที่ชื่นชอบของ มิเชล พลาตินี่ซึ่งเป็นผู้จัดการทีมชาติในขณะนั้น ซึ่งพลาตินี่พูดถึงคันโตนาว่า เขาจะต้องเลือกคันโตนาเป็นหนึ่งในขุนพล เลอ เบลอส์ อย่างแน่นอน ถ้ายังเล่นได้อย่างสุดยอด พลาตินี่เป็นอีกคนหนึ่งที่ริเริ่มความคิดการเล่นฟุตบอลในอังกฤษให้กับคันโตนา
ภายหลังล้มเหลวจากศึกยูโร 92 ที่ประเทศสวีเดน พลาตินี่ก็ได้ลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งขณะนั้นฝรั่งเศสมีคู่ศูนย์หน้า คือ คันโตนา และ ฌอง-ปิแอร์ ปาแปง ผู้ที่เข้ามารับงานต่อจากพลาตินี่ก็คือ เชราร์ อุลลิเย่ร์
ฝรั่งเศสไม่สามารถผ่านรอบคัดเลือกไปเล่นฟุตบอลโลกที่ สหรัฐอเมริกาได้ในอีกสองปีต่อมา หลังจากที่แพ้บัลแกเรียคาบ้าน 2 ต่อ 1 ซึ่งฝรั่งเศสต้องการเพียงแค่ผลเสมอ ในเกมนั้น ดาวิด ชิโนล่าทำบอลเสียนำไปสู่การได้ประตูชัยของบัลแกเรียโดย เอมิล คอสตาดินอฟ ทำให้คันโตนาโกรธ ชิโนล่า มาก หลังเกมนั้น อุลลิเย่ร์ลาออกจากตำแหน่ง ทำให้ ไอเม่ ฌักเก้ต์ เข้ามาสานงานต่อ
สองปีต่อมาฝรั่งเศสผ่านเข้าไปเล่นในยูโร 96 ที่อังกฤษได้สำเร็จ ซึ่ง ฌักเก้ต้ ได้ทำการปรับปรุงทีม โดยใช้ผู้เล่นสายเลือดใหม่สองสามคน หนึ่งในนั้นก็คือ มิดฟิลด์จอมทัพซึ่งมีลีลาการเล่นที่น่าตื่นตาตื่นใจและมีความเป็นผู้นำสูงอย่าง ซีเนดีน ซีดานโดย คันโตนาถูกหมางเมิน
หลายฝ่ายต่างคาดการณ์กันว่า กองโตนาคงจะหลุดจากทีมชาติชุดลุยบอลโลกที่ประเทศตัวเองอย่างแน่นอน และมีข่าวเล็ดลอดออกมาว่า คันโตนา ประกาศเลิกเล่นตอนสิ้นปี พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1997) ก็เพราะว่า ต้องการหลีกเลี่ยงแรงกดดันที่ ฌักเก้ต์ และ ทีมชาติฝรั่งเศสต้องเผชิญจากการที่ไม่เลือกเขาร่วมทีม
ชีวิตหลังเลิกค้าแข้ง
หลังจากแขวนสตั๊ดแล้วคันโตนา หันเหไปเป็นนักแสดงในประเทศฝรั่งเศส นอกจากเป็นนักแสดงแล้ว เขายังเป็น ผู้กำกับภาพยนตร์ขนาดสั้นด้วย คันโตนาเริ่มเป็นที่รู้จักในฐานะนักแสดงจากภาพยนตร์เรื่อง เอลิซาเบ็ท ที่เขาเล่นเป็นทูตชาวฝรั่งเศส นอกจากนี้เขาก็ยังรับจ๊อบเป็นนายแบบโฆษณาให้กับบริษัทไนกี้ด้วย
ในช่วงก่อนการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 2002 (พ.ศ. 2545) คันโตนาก็เล่นภาพยนตร์โฆษณาให้กับไนกี้ร่วมกับ เธียร์รี่ อองรี โรเบอร์โต้ คาร์ลอส โรนัลโด้และหลุยส์ ฟิโก้ โดยก่อนหน้านี้ เขาก็เคยเล่นภาพยนตร์โฆษณาให้กับไนกี้ในประเทศอังกฤษ ในการปรากฏตัวร่วมกับ เอียน ไรท์, สตีฟ แม็คมานามาน และ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ด้วย
ที่ผ่านมา คันโตน่า รับเชิญมาเล่นบอลชาดหาดบ้าง เป็นประปราย เคยลงเล่นในทัวร์นาเม้นต์ใหญ่ๆ อย่าง ฟุตบอลชายหาด เวิร์ลดคัพ 2006 อีกด้วย โดยรับบทเป้นกับตันทีม