ประวัติ บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน
บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน "England's Classiest Act."
ถ้าจะเอ่ย ถึงยอดนักเตะของผู้ดีซักคน หลายๆคนคงนึกถึง บ็อบบี้ มัวร์, เจฟฟ์ เฮิร์ทส์,กอร์ดอน แบงค์ ฯลฯ ซึ่งนักเตะเหล่านี้ล้วนเป็นยอดนักเตะในตำนานของทีมชาติอังกฤษ แต่ยังมีอีกคนหนึ่ง ที่ถือว่าเป็นต้นแบบของวงการลูกหนังอังกฤษในยุคสุดยอด นั่นก็คือ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ยอดนักเตะ ของทีมปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และทีมชาติอังกฤษ รวมอยู่ด้วย
บ็อบบี้ ชาร์ลตัน เกิดเมื่อวันที่ 11 ต.ค. 1937 ที่แอชิงตัน ซึ่งช่วงนั้นฟุตบอลกำลังบูมอย่างมากในอังกฤษ และ ชาร์ลตันที่หลงใหลในกลิ่นสาบลูกหนังก็หมั่นฝึกฝน และได้เข้าฝึกฝนทักษะด้านลูกหนังที่โรงเรียน อีสต์ นอร์ธัมเบอร์แลนด์ ที่นี่เองที่ชาร์ลตัน สามารถฝึกปรือเชิงลูกหนังได้อย่างเต็มที่ ด้วยความสามารถที่เกินวัย ชาร์ลตัน ก็สามารถได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนไปแข่งขันฟุตบอลรายการต่างๆ และลีลาความสามารถที่สูงตั้งแต่เด็ก ทำให้เขาเป็นที่ต้องตา ของ กุนซือคนเก่งของแมนฯยูไนเต็ด อย่าง แมตต์ บัสบี้
หลังจากนั้น ชาร์ลตัน ก็ได้เซ็นสัญญาเป็นนักเตะฝึกหัดของทีมปิศาจแดง ด้วยวัยเพียง 15 ปี ซึ่งตอนนั้นแมตต์ บัสบี้ กำลังสร้างรากฐานจากเยาวชนเพื่อครองความยิ่งใหญ่ โดยใช้สโลแกนในตอนนั้นว่า "บัสบี้ เบ็บส์ " หรือ เด็กๆของบัสบี้ หลังจากนั้นเพียง 3 ปี เขาก็ได้กลายขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ของทีมแมนฯยูไนเต็ด และได้ลงสนามนัดแรกก็เอาชนะใจของแมตต์ บัสบี้ได้สำเร็จ ด้วยการยิง 2 ประตูชนะ ชาร์ลตัน ไป 4-2 และปีนั้นชื่อของชาร์ลตันเริ่มเป็นที่จับตามองมากขึ้น หลังจากช่วยพาทีมครองแชมป์ดิวิชั่นหนึ่งของอังกฤษ ได้สำเร็จ
ปีต่อมาเขาได้ลงเล่นถ้วยใบใหญ่สุดของยุโรป อย่าง ยูโรเปี้ยนส์ คัพ ซึ่งเขาก็สามารถพาทีมผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ ซึ่งตอนนั้นนัดชิงจัดขึ้นที่สนามเวมบลีย์ แต่ก็เกิดเหตุการณ์อันสลดขึ้น เมื่อทีมต้องไปแข่งขันรอบตัดเชือกที่ มิวนิค ตอนขากลับเครื่องบินเกิดเหตุขัดข้อง จนเกิดอุบัติเหตุ ทำให้นักเตะทีมแมนฯยูไนเต็ด ต้องเสียชีวิต ถึง 23 คน แต่ ชาร์ลตันถือว่าดวงแข็งมาก กลับรอดชีวิตมาอย่างปาฎิหาริย์ แบบไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆเลย เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดเมื่อวันที่ 6 ก.พ. 1958 เวลา 15.04 น.
หลังจากนั้น ชาร์ลตันก็ยังอยู่กับยูไนเต็ด ภายใต้การนำทีมของแมตต์ บัสบี้ แต่ฟอร์มการเล่นของชาร์ลตันก็ยังโดดเด่น จนทีมชาติอังกฤษ เรียกเข้าสู่ทีมเมื่อปี 1958 ภายใต้การทำทีมของ วอลเตอร์ วินเตอร์บอททอม ชาร์ลตันเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับ และปีนั้นอังกฤษได้ไปฟุตบอลโลกที่สวีเดน แต่แล้วอังกฤษก็ไม่ประสบความสำเร็จ ตกรอบแรกอย่างรวดเร็ว และชาร์ลตันเองก็ไม่มีส่วนร่วมในการแข่งขันครั้งนั้นเลย ซึ่งหลังจากนั้น วอลเตอร์ ออกมายอมรับว่าเขาเสียดายที่ไม่ให้ โอกาสชาร์ลตันลงสนาม 4 ปีต่อมา ชาร์ลตันยังเป็นกำลังสำคัญของทีมชาติอังกฤษ ลุยฟุตบอลโลก แต่ทีมของเขาก็จบแค่รอบ 8 ทีมสุดท้าย
ต่อจากนั้นชาร์ลตันกลับมาประสบความสำเร็จกับปิศาจแดงต่อ ด้วยการกวาดแชมป์ดิวิชั่นหนึ่ง ในปี 1965.1967 และแชมป์เอฟเอคัพ ปี 1963 หลังจากที่บัสบี้ ได้สร้างทีมใหม่ขึ้นมา โดยการนำของชาร์ลตัน เดนิส ลอว์ และ จอร์จ เบสต์ ทำให้ทีมปีศาจแดง กลายเป็นทีมเล่นได้สุดยอดในยุคนั้น และความสำเร็จของสโมสรนี่เองทำให้ ชาร์ลตัน ลงทำศึกฟุตบอลโลกปี 1966 ที่อังกฤษเป็นเจ้าภาพ ด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม และมีขุนพลเอกจากสโมสรชั้นนำทำให้ปีนั้น อังกฤษประสบความสำเร็จสูงสุด ด้วยการคว้าแชมป์โลกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ด้วยการชนะเยอรมันตะวันตกไป 4-2 ซึ่งผลงานการเล่นของชาร์ลตันโดดเด่นมากในปีนั้น และปี 1968 เขาก็สามารถนำทีมปิศาจแดง แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนส์ คัพ เป็นครั้งแรกและเป็นทีมแรกจากอังกฤษอีกด้วยที่ได้แชมป์ใบโตของยุโรป
จากนั้น ชาร์ลตันก็ยังวนเวียนกลับการเล่นฟุตบอล จนกระทั่งในปี 1974 เขาตัดสินใจแขวนสตั๊ด และหันไปทำธุรกิจโรงเรียนสอนฟุตอล ต่อมาเมื่อปี 1984 ทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ได้เชิญ เขาเข้ามาเป็นผู้อำนวยการสโมสรและได้รับเกียรติให้เป็นบอร์ดของฟีฟ่า อีกทั้งอังกฤษ ยังแต่งตั้งให้ชาร์ลตันเป็นทูตกีฬาเดินทางไปทั่วโลกเพื่อเผยแพร่เกมลูกหนัง
ความภาคภูมิใจอีกอย่างหนึ่งของชาร์ลตัน ก็คือ การได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ เป็น เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน จากพระราชวังบักกิ้งแฮม หลังจากสร้าชื่อเสียงให้กับสโมสรและประเทศชาติมายาวนาน นับว่าชาร์ลตันคือนักเตะแม่แบบของนักเตะอังกฤษขนานแท้เลยก็ว่าได้
แม้ว่าการเวลาจะผ่านมานานแค่ไหน คนทั่วโลกก็ยังจดจำการเล่นอันยอดเยี่ยมของ ยอดนักเตะเมืองผู้ดีอย่าง บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ตลอดไปอย่างแน่นอน
เกียรติประวัติของ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน
ระดับชาติ
ติดทีมชาติ 106 ครั้ง ยิง 49 ประตู
แชมป์ฟุตบอลโลก 1966 (จะมีอีกมั๊ยหากยังเล่นกันแบบนี้อยู่)
ระดับสโมสร
แชมป์ลีกสูงสุด กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ปี 1957,1965,1967
แชมป์เอฟเอ คัพ ปี 1963
แชมป์ยูโรเปี้ยนส์ คัพ ปี 1968